วันนี้ผมจะพูดถึงเรื่อง การขายสินค้า
โดยเน้นเรื่องการส่งสินค้าให้แก่ผู้ซื้อก่อนมีการชำระเงิน
เน้นว่าร้านค้าออนไลน์ ตั้งใจอ่านให้ดี เพราะปัญหาตามหัวข้อนี้
ติดอันดับต้นๆของคำถามที่เข้ามาเลยก็ว่าได้ครับ
เริ่มที่กรรมสิทธิ์ของตัวสินค้ากันก่อนครับ
กรรมสิทธิ์ คือ ความเป็นเจ้าของตัวทรัพย์สินต่างๆ ว่าเป็นของใครและทำให้ผู้เป็นเจ้าของมีสิทธิต่างๆในตัวทรัพย์นั้น เช่น
- ครอบครองและยึดถือทรัพย์สินนั้น
- มีสิทธิใช้สอย และ ได้ซึ่งดอกผลแห่งทรัพย์สิน
นั้น
- มีสิทธิที่จะจำหน่าย หรือ โอนทรัพย์สินนั้น
- มีสิทธิติดตามเอาทรัพย์สินคืนจากบุคคลผู้ไม่มี
สิทธิจะยึดถือไว้
- มีสิทธิขัดขวางมิให้ผู้อื่นสอดเข้าเกี่ยวข้องกับ
ทรัพย์สินนั้นโดยมิชอบด้วยกฎหมาย
สินค้าที่ขายกันส่วนใหญ่ ชนิดที่สามารถเคลื่อนย้ายได้นั้นไม่ว่าจะเป็น
เสื้อผ้า เครื่องใช้สอย โทรศัพท์ อุปกรณ์เครื่องมือต่างๆ รถเก๋ง รถกระบะ
รถจักรยานยนต์ ตลอดจนถึง ตั๋วภาพยนตร์ บัตรชมคอนเสิร์ต เป็นต้น
เหล่านี้ทางกฎหมายถือเป็น “สังหาริมทรัพย์” ซึ่งเป็นทรัพย์สินประเภทหนึ่ง
และในบทความนี้ผมจะกล่าวถึงแต่ทรัพย์สินประเภทนี้เท่านั้นครับ
แต่เดิม การซื้อขายแบบออนไลน์
จะนิยมให้ผู้ซื้อชำระเงินให้ก่อนไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนจึงจะส่งมอบสินค้า
ไปให้
แต่เนื่องจากบางครั้งมีมิจฉาชีพแอบแฝงมาหลอกลวงจนทำให้เกิดความไม่เชื่อมั่น
จากผู้ซื้อประการหนึ่ง
และในปัจจุบันมีการแข่งขันมากขึ้นของผู้ขายสินค้าออนไลน์ทั้งหน้าใหม่และ
หน้าเก่า
ทำให้ผู้ซื้อเริ่มต่อรองให้มีการส่งสินค้าไปให้ก่อนเพื่อพิจารณาตรวจสอบความ
ถูกต้องแล้วถึงจะโอนเงินมาให้
แต่บางครั้งการขายก็ไม่ได้เงินกลับมาเพราะผู้ซื้อบางคนผิดนัด
ซึ่งหากพอจะทวงถามติดตามเอาค่าสินค้ากลับมาได้บ้างหรือทั้งหมดก็ดีไป
ถ้าทวงไม่ได้ก็ขาดทุนไป
ถ้านานๆเจอแบบนี้สักครั้งหนึ่งผมเชื่อว่าผู้ขายก็คงพอทำใจรับความเสี่ยงนี้
ได้ แต่ถ้าต้องเจอบ่อยๆก็ไม่ไหวเช่นเดียวกัน
และปัญหาดังกล่าวยังคงพบได้อยู่บ่อยครั้ง
จึงทำให้การซื้อขายสินค้าแบบออนไลน์
ของผู้ค้ารายย่อยที่ไม่สามารถลงทุนเพื่อสร้างระบบการส่งสินค้าและการชำระ
เงินที่ครอบคลุมได้ ไม่พัฒนาอย่างที่ควรจะเป็นเสียที
เพราะเหตุขาดความน่าเชื่อถือนั่นเอง
แล้วทีนี้จะจัดการอย่างไรได้บ้าง ?
สิ่งแรกที่ผมจะแนะนำผู้มาปรึกษา คือ การวางระบบให้รัดกุม
ซึ่งในประเด็นนี้มีรายละเอียดอยู่มากผมจึงขอละไว้ก่อนครับ
แต่เรามาดูทางแก้ไขในเชิงข้อกฎหมายกันว่า
จะใช้สิทธิ์ทางศาลในคดีประเภทใดได้บ้าง
ซึ่งในการซื้อขายสินค้าที่ตกลงซื้อสินค้าในจำนวนและราคาแน่ชัดแล้วนั้น
เป็นเรื่องสัญญาทางแพ่ง
เมื่อผู้ขายส่งสินค้าให้แก่ผู้ซื้อไปแล้วไม่ได้รับชำระเงินตามที่ตกลงกันไม่
ว่าทั้งหมดหรือแต่บางส่วนก็ตาม
ท่านสามารถใช้สิทธิ์ฟ้องดำเนินคดีแพ่งเพื่อเรียกเอาค่าสินค้าพร้อมดอกเบี้ย
ผิดนัดร้อยละ ๗.๕ ต่อปี จากค่าสินค้าค้างชำระได้
ไม่ว่าค่าสินค้านั้นจะมากหรือน้อยก็ตาม แต่จะไปแจ้งความว่าถูกโกง
ถูกยักยอก หรือลักทรัพย์ เป็นคดีอาญานั้นไม่ได้
เพราะเป็นเพียงเรื่องผิดสัญญาทางแพ่งเท่านั้น
(เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าผู้ซื้อตั้งใจจะไม่ชำระเงินมาตั้งแต่ต้น)
สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะคำว่า “กรรมสิทธิ์” นั่นเอง
เมื่อมีการตกลงซื้อขายสินค้าระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายโดยกำหนดตัวสินค้าและ
ราคาแน่ชัดแล้ว(ไม่รวมการจอง) การซื้อขายนี้เสร็จสมบูรณ์ตามกฎหมาย
กรรมสิทธิ์ในตัวสินค้าโอนไปยังผู้ซื้อโดยทันที
ผู้ขายมีหน้าที่ต้องส่งมอบสินค้าให้แก่ผู้ซื้อ
และในทางกลับกันผู้ซื้อมีหน้าที่ต้องชำระค่าสินค้าให้แก่ผู้ขาย
ใครไม่ปฏิบัติให้ถูกหน้าที่ของตนถือว่าผิดสัญญาซื้อขาย
อีกฝ่ายฟ้องบังคับให้ปฏิบัติตามสัญญาได้
มาถึงตรงนี้ท่านพอจะมองภาพออกหรือไม่ครับว่าทำไม่ถึงไม่มีความผิดทางอาญา
ที่ไม่ผิดก็เพราะกรรมสิทธิ์นั้นได้โอนไปเป็นของผู้ซื้อแล้วนั่นเอง
ผู้ซื้อมีสิทธิต่างๆดังที่ได้กล่าวไว้แล้วข้างต้นในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์
ไม่ว่าจะนำไปใช้ นำไปขายต่อ นำไปให้เช่า ฯ ก็ทำได้ทั้งสิ้น
แต่ถ้าเป็นการตกลงซื้อขายสินค้ากันแบบมีเงื่อนไข
ทั้งแบบโดยตรงหรือโดยปริยายจนทำให้กรรมสิทธิ์ยังไม่โอนไปแก่ผู้ซื้อในทันที
เช่น การส่งสินค้าไปให้เป็นตัวอย่างแบบต้องส่งกลับ
หรือส่งไปเพื่อการพิจารณาเสียก่อนจึงค่อยตกลงว่าจะซื้อหรือไม่ เช่นนี้
หากยังไม่มีการตอบตกลงรับซื้อสินค้าตามคำเสนอขาย
ลำพังเพียงการส่งมอบสินค้าไปยังไม่ทำให้กรรมสิทธิ์ในตัวสินค้าโอนไปให้แก่
ผู้ซื้อ หากผู้ซื้อเอาสินค้าไปใช้โดยไม่ชำระเงิน หรือขายให้ผู้อื่นไป
ก็จะมีความผิดทางอาญาฐานยักยอกทรัพย์ได้เช่นกัน ถ้ากรณีเป็นเช่นนี้
นอกจากผู้ขายจะใช้สิทธิ์ทางแพ่งเพื่อเรียกเอาสินค้าคืนหรือใช้ราคาได้แล้ว
ยังแจ้งความดำเนินคดีทางอาญาได้อีกด้วยครับ
หวังว่าจะเป็นประโยชน์แก่ท่านผู้อ่านไม่มากก็น้อย ซึ่งหากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามเข้ามาได้ และช่วยกันเผยแพร่ให้เป็นความรู้แก่บุคคลทั่วไปครับ
ที่ปรึกษากฎหมาย นิติ ลอว์ Twitter@niti_law
#ปรึกษากฎหมาย #ซื้อขาย