ตามที่เป็นข่าวว่าร้านเครื่องดื่มแห่งหนึ่ง เปิดเพลงจาก YouTube.
แล้วถูกจับลิขสิทธิ์เพลงนั้น
ซึ่งกรณีนี้ท่านคงได้ทราบจากการที่มีนักกฎหมายหลายท่านได้นำคำพิพากษาศาล
ฎีกาที่ตัดสินคดีในประเด็นที่ว่า
การเปิดเพลงในร้านอาหารโดยไม่เรียกเก็บผลประโยชน์เพิ่มจากราคาปกติไม่ถือ
เป็นการละเมิดลิขสิทธิ์เพลงกันอยู่บ้างแล้ว
โดยในเรื่องนี้ผมก็เห็นว่าได้มีการเผยแพร่ข้อมูลความรู้นี้ออกไปในสื่อต่างๆ
โดยเฉพาะในโลกออนไลน์ก็มีการแชร์ข้อมูลดังกล่าวกันอยู่มาก
แต่ก็ยังปรากฏข่าวอยู่ว่ามีตัวแทนของเจ้าของลิขสิทธิ์เข้าเรียกร้องผล
ประโยชน์ในเชิงค่าปรับอยู่อีก ซึ่งไม่ถูกต้อง
ในวันนี้
ผมขอนำข้อคิดต่างๆในกรณีนี้มาพูดคุยกันเพื่อให้ทุกฝ่ายได้คำนึงถึงความถูก
ต้องของการใช้สิทธิเรียกร้องหรือการใช้สิทธิ์โต้แย้งต่างๆในกรณีเกิดเหตุดัง
กล่าวเกิดขึ้นอีก
ประการแรกเรามาทำความเข้าใจถึงคำพิพากษาที่นำมากล่าวถึงเสียก่อน คือ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10579/2551 และ 8220/2553 ซึ่งมีสาระสำคัญดังนี้ครับ
.......................................
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10579/2551
โจทก์บรรยายฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537
มาตรา 31 ซึ่งบัญญัติว่า
“ผู้ใดรู้อยู่แล้วหรือมีเหตุอันควรรู้ว่างานใดได้ทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์
ของผู้อื่น กระทำอย่างใดอย่างหนึ่งแก่งานนั้นเพื่อหากำไร
ให้ถือว่าผู้นั้นกระทำการละเมิดลิขสิทธิ์...”
ความผิดตามบทบัญญัติดังกล่าวจึงต้องเป็นการกระทำแก่งานที่ได้ทำขึ้นโดย
ละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้อื่น “เพื่อหากำไร” เท่านั้น
แต่ตามที่โจทก์บรรยายฟ้องปรากฏแต่เพียงว่า
จำเลยเปิดแผ่นเอ็มพีสามและซีดีเพลงให้ลูกค้าในร้านอาหารได้ร้องและฟังเพลง
ของผู้เสียหาย 1 แผ่น “เพื่อประโยชน์ในทางการค้า”
ขายอาหารและเครื่องดื่มของจำเลยแต่ไม่ปรากฏในคำฟ้องว่าจำเลยกระทำเพื่อหา
กำไรโดยตรงจากการที่ให้ลูกค้าได้ร้องและฟังเพลงโดยเรียกเก็บค่าตอบแทนจาก
ลูกค้าในการเปิดเพลงดังกล่าวหรือเรียกเก็บรวมไปกับค่าอาหารและเครื่องดื่ม
แต่อย่างใด การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537
มาตรา 31 แม้จำเลยให้การรับสารภาพก็ไม่อาจลงโทษจำเลยได้ ตาม
พ.ร.บ.จั้ดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณา
คดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ.2539 มาตรา 26 ประกอบ
ป.วิ.อ. มาตรา 185
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8220/2553
“โจทก์บรรยายฟ้องว่า
จำเลยประกอบกิจการค้าขายอาหารตามสั่งและเครื่องดื่ม
จำเลยเปิดแผ่นวีซีดีเพลง “กำลังใจที่เธอไม่รู้”
อันเป็นลิขสิทธิ์ของผู้เสียหาย
ซึ่งได้มีผู้ทำขึ้นหรือดัดแปลงขึ้นให้ลูกค้าในร้านอาหารของจำเลยฟัง
ไม่ปรากฏว่าจำเลยเปิดเพลงเพื่อหากำไรโดยตรงจากการที่ให้ลูกค้าฟังเพลงโดยการ
เรียกเก็บค่าตอบแทนหรือเรียกเก็บเพิ่มรวมไปกับอาหารและเครื่องดื่มแต่อย่าง
ใด การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 มาตรา 31
ประกอบมาตรา 70 วรรคสอง เพราะไม่ครบองค์ประกอบความผิดของบทมาตราดังกล่าว
ซึ่งต้องเป็นการกระทำเพื่อหากำไรโดยตรงจากการละเมิดลิขสิทธิ์
แม้จำเลยให้การรับสารภาพก็ไม่อาจลงโทษจำเลยได้ ตาม
พ.ร.บ.จัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดี
ทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ.2539 มาตรา 26 ประกอบ ป.วิ.อ.
มาตรา 185 วรรคหนึ่ง”
จากคำพิพากษาทั้งสองเรื่องดังกล่าว จะเห็นได้ถึงหลักสำคัญของความผิดตาม
พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 มาตรา 31 ว่า “ต้องเป็นการกระทำเพื่อแสวงหากำไร”
ดังนั้น
หากท่านเปิดเพลงซึ่งเป็นผลงานอันมีลิขสิทธิ์ในร้านอาหารหรือสถานบริการต่างๆ
โดยไม่ได้มีพฤติการณ์แสวงหากำไรจากเพลงดังกล่าว ก็จะไม่มีความผิด
แต่ถ้าพิสูจน์ได้ว่าการเปิดเพลงดังกล่าวนั้นกระทำไปเพื่อผลประโยชน์ทางการ
ค้าโดยตรงก็จะมีความผิดตามกฎหมาย
ซึ่งผมก็มีความเห็นว่าการเปิดเพลงในร้านอาหารจากแผ่น CD
หรือการเปิดเพลงจากระบบ YouTube. นั้น ก็คือการเปิดเพลงฟัง
ไม่ได้แตกต่างกัน จึงไม่เป็นความผิดถ้าไม่ได้เปิดเพื่อแสวงหากำไร
ตามคำวินิจฉัยในคำพิพากษาทั้งสองเรื่องข้างต้น
คงพอเข้าใจกันแล้วนะครับ ว่าการกระทำอย่างไรที่เป็นความผิด
ท่านก็อย่าได้พลั้งเผลอไปทำเข้า
เพียงเท่านี้ก็ทำมาหากินกันต่อไปได้อย่างสบายใจครับ
"สิ่งที่ท่านควรรู้เมื่อมีการแสดงตัวกล่าวหาว่าทำละเมิดลิขสิทธิ์"
สิ่งแรกที่ท่านต้องรู้ คือ ความผิดฐานนี้เป็นความผิดต่อส่วนตัว
เป็นเรื่องยอมความได้
เจ้าพนักงานตำรวจไม่มีอำนาจในการเข้าตรวจสอบและจับกุมดำเนินคดีได้เลยหาก
เจ้าของลิขสิทธิ์ไม่แจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษเอากับท่าน
และหากไม่ใช่ตัวเจ้าของลิขสิทธิ์มาดำเนินการด้วยตนเอง
ก็จะต้องมีหนังสือมอบอำนาจอย่างถูกต้องมาประกอบการใช้สิทธิ์ของตัวแทนด้วย
ดังนั้น เมื่อตัวแทนลิขสิทธิ์มาแสดงตนต่อหน้าท่าน
ท่านมีสิทธิโดยชอบที่จะเรียกให้ตัวแทนแสดงหนังสือมอบอำนาจฉบับจริงออกมา
และตรวจสอบหนังสือมอบอำนาจกลับไปยังเจ้าของลิขสิทธิ์เสียก่อนได้
หากตัวแทนไม่แสดงหนังสือดังกล่าว
ท่านสามารถอ้างเหตุนี้ปฏิเสธไม่ให้ความร่วมมือได้
เนื่องจากไม่แน่ชัดว่าเป็นผู้ได้รับมอบอำนาจที่ถูกต้องหรือไม่
ประการต่อมา
หากเจ้าของลิขสิทธิ์หรือตัวแทนได้แจ้งความดำเนินคดีกับพนักงานสอบสวนแล้วแต่ไม่ปรากฏว่ามีการกระทำความผิดซึ่งหน้าหรือเหตุอื่นตามที่ระบุใน ป.วิ.อ.
มาตรา ๗๘ เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่มีอำนาจจับกุมตัวผู้ต้องหาทันทีได้
หากจะสอบสวนก็ต้องออกหมายเรียกเสียก่อน
เว้นแต่เป็นกรณีพนักงานสอบสวนหรือพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจชั้นผู้ใหญ่
เป็นผู้ทำการสอบสวนด้วยตนเอง ซึ่งไม่จำเป็นต้องออกหมายเรียกก็ได้
และที่สำคัญ ก่อนที่จะให้การ
ผู้ต้องหามีสิทธิ์โดยชอบที่จะขอพบทนายความเพื่อปรึกษากันเป็นการส่วนตัวได้
.......................................
ป.วิ.อ. มาตรา ๗๘ พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจจะจับผู้ใดโดยไม่มีหมายจับหรือคำสั่งของศาลนั้นไม่ได้ เว้นแต่
(๑) เมื่อบุคคลนั้นได้กระทำความผิดซึ่งหน้าดังได้บัญญัติไว้ในมาตรา ๘๐
(๒)
เมื่อพบบุคคลโดยมีพฤติการณ์อันควรสงสัยว่าผู้นั้นน่าจะก่อเหตุร้ายให้เกิด
ภยันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สินของผู้อื่นโดยมีเครื่องมือ อาวุธ
หรือวัตถุอย่างอื่นอันสามารถอาจใช้ในการกระทำความผิด
(๓) เมื่อมีเหตุที่จะออกหมายจับบุคคลนั้นตามมาตรา ๖๖ (๒) แต่มีความจำเป็นเร่งด่วนที่ไม่อาจขอให้ศาลออกหมายจับบุคคลนั้นได้
(๔) เป็นการจับผู้ต้องหาหรือจำเลยที่หนีหรือจะหลบหนีในระหว่างถูกปล่อยชั่วคราวตามมาตรา ๑๑๗
.......................................
เท่านี้คงพอเห็นภาพกันแล้วนะครับว่าทั้งสองฝ่ายมีสิทธิอย่างไร
ก็ขอให้ใช้สิทธิ์กันอย่างเหมาะสม โดยเฉพาะ
หากรู้อยู่แล้วว่าการเปิดเพลงโดยไม่แสวงหากำไรนั้นไม่มีความผิด ดังนั้น
การไปตั้งสิทธิเรียกร้องต่างๆก็จะเป็นเรื่องที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
และหากมีการใช้กำลังประทุษร้าย หรือโดยขู่เข็ญว่าจะทำอันตรายต่อชีวิต
ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพย์สิน
และเจ้าของร้านค้ายินยอมจ่ายเงินหรือให้ผลประโยชน์ไป ผมเห็นว่า
ผู้ที่ทำเช่นนั้นอาจมีความผิดฐานกรรโชกทรัพย์ได้
......................................
......................................
หมายเหตุ
การใช้อำนาจบังคับกดดันเพื่อให้ไปโรงพักโดยไม่มีสิทธิตามกฎหมายก็เป็นการทำ ให้เสื่อมเสียซึ่งเสรีภาพอยู่ในตัว ในทางกลับกัน การพูดคุยให้ยอมไปโรงพักด้วยความสมัครใจเองไม่เป็นการทำให้เสื่อมเสีย เสรีภาพ
......................................
การใช้อำนาจบังคับกดดันเพื่อให้ไปโรงพักโดยไม่มีสิทธิตามกฎหมายก็เป็นการทำ ให้เสื่อมเสียซึ่งเสรีภาพอยู่ในตัว ในทางกลับกัน การพูดคุยให้ยอมไปโรงพักด้วยความสมัครใจเองไม่เป็นการทำให้เสื่อมเสีย เสรีภาพ
......................................
ที่ปรึกษากฎหมาย นิติ ลอว์
#ปรึกษากฎหมาย #ลิขสิทธิ์