ประเด็นนี้เป็นเรื่องถกเถียงกันมากพอสมควร
และหลายท่านก็มีข้อสงสัยกันมาตลอดว่า การที่เจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย ตาม
พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522
เมื่อออกใบสั่งแล้วเรียกเก็บใบอนุญาตขับขี่ไปจะเป็นกรณีเดียวกันกับการยึดใบอนุญาตขับขี่ด้วยหรือไม่นั้น
บัดนี้
ได้มีคำพิพากษาศาลฎีกาวินิจฉัยให้ความกระจ่างแก่ผู้สนใจได้ศึกษากันเสียที
โดยคำพิพากษาศาลฎีกาฉบับดังกล่าวพอสรุปใจความสำคัญได้ดังนี้
“การเรียกเก็บใบอนุญาตขับขี่ไว้เป็นการชั่วคราว” นั้น เป็นการใช้ดุลพินิจของเจ้าพนักงาน มีวัตถุประสงค์ที่จะให้ผู้ขับขี่ที่ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 รีบไปชำระค่าปรับตามคำสั่งของเจ้าพนักงานจราจรโดยเร็ว เพื่อจะได้รับใบอนุญาตขับขี่คืนจากพนักงานสอบสวนทันที อันจะทำให้สามารถขับขี่รถต่อไปได้โดยถูกต้องตามกฎหมาย ทั้งนี้ เจ้าพนักงานจราจรต้อง ให้ใบรับแทนใบอนุญาตขับขี่ที่ออกให้ใช้แทนใบอนุญาตขับขี่ได้เป็นการชั่วคราวไม่เกินเจ็ดวัน หรือใบรับการส่งธนาณัติ หรือใบรับการส่งตั๋วแลกเงิน ประกอบกับใบสั่งเป็นใบแทนใบอนุญาตขับขี่ได้เป็นเวลาสิบวันนับแต่วันที่ส่งธนาณัติหรือตั๋วแลกเงิน
“การสั่งยึดใบอนุญาตขับขี่” เป็นอำนาจของ ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ผู้บัญชาการตำรวจภูธร ผู้บังคับการตำรวจจราจร ผู้บังคับการตำรวจทางหลวง ตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 ครั้งละไม่เกินหกสิบวัน และผู้ขับขี่มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งได้ตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 161 ทั้งนี้ กรณีเจ้าพนักงานจราจรจะเป็นผู้สั่งยึดจะต้องได้รับมอบอำนาจจากผู้มีอำนาจข้างต้นเสียก่อนจึงจะมีอำนาจสั่งยึดได้
เมื่อพิจารณาจากใจความสำคัญทั้งสองประเด็นนี้แล้วจะเห็นได้ว่า ทั้งสองกรณีมีความแตกต่างกันอยู่พอสมควร โดยการเรียกเก็บใบอนุญาตขับขี่เมื่อมีการออกใบสั่งนั้นไม่ใช่การลงโทษ มีวัตถุประสงค์เพียงเพื่อกระตุ้นให้ผู้ขับขี่เร่งไปชำระค่าปรับเพื่อให้การขับขี่ครั้งต่อไปไม่เป็นการฝ่าฝืนกฎหมายเท่านั้น แต่การสั่งยึดใบอนุญาตขับขี่เป็นการชั่วคราวนั้น มีลักษณะเป็นลงโทษชัดเจน ซึ่งหากผู้รับคำสั่งไม่เห็นด้วยก็สามารถใช้สิทธิ์อุทธรณ์ได้ตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป จากคำพิพากษาศาลฎีกาฉบับนี้จึงเป็นการให้ความกระจ่างชัดในข้อสงสัยของหลายท่านได้ดีทีเดียว ศึกษารายละเอียดตามคำพิพากษาด้านล่างนี้ครับ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1669/2559
การที่ พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 140, 141, 161 ทวิ กำหนดให้เจ้าพนักงานจราจรใช้ดุลพินิจเรียกเก็บใบอนุญาตขับขี่ไว้เป็นการชั่วคราว และให้ใบรับแทนใบอนุญาตขับขี่ที่ออกให้ใช้แทนใบอนุญาตขับขี่ได้เป็นการชั่วคราวไม่เกินเจ็ดวัน หรือใบรับการส่งธนาณัติ หรือใบรับการส่งตั๋วแลกเงิน ประกอบกับใบสั่งเป็นใบแทนใบอนุญาตขับขี่ได้เป็นเวลาสิบวันนับแต่วันที่ส่งธนาณัติหรือตั๋วแลกเงิน เมื่อเจ้าพนักงานจราจรผู้ออกใบสั่งมิได้รับมอบอำนาจจากผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ผู้บัญชาการตำรวจภูธร ผู้บังคับการตำรวจจราจร ผู้บังคับการตำรวจทางหลวง ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจสั่งยึดใบอนุญาตขับขี่ที่ได้กระทำความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 ครั้งละไม่เกินหกสิบวัน และผู้ขับขี่มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งได้ตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 161 จึงไม่มีอำนาจสั่งยึดใบอนุญาตขับขี่ตามบทบัญญัติดังกล่าว กรณีจึงไม่อาจแปลความคำว่า "เรียกเก็บใบอนุญาตขับขี่ไว้เป็นการชั่วคราว" ตามมาตรา 140 วรรคสาม ว่า เป็นการยึดใบอนุญาตขับขี่ การที่จำเลยซึ่งเป็นผู้ได้รับใบอนุญาตปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้ประจำรถขับขี่รถในระหว่างที่เจ้าพนักงานจราจรเรียกเก็บใบอนุญาตขับขี่ไว้เป็นการชั่วคราว และพ้นกำหนดเวลาเจ็ดวันนับแต่วันที่เจ้าพนักงานจราจรออกใบรับแทนใบอนุญาตขับขี่แล้ว จึงมิใช่เป็นการปฏิบัติหน้าที่ในระหว่างถูกยึดใบอนุญาตขับรถตามกฎหมายว่าด้วยจราจรทางบกอันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.การขนส่งทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 152
..................................................................................
ที่นี้เรามาลงลึกในเรื่องการเรียกเก็บใบอนุญาตขับขี่ไว้เป็นการชั่วคราวกันต่อ
เมื่อกฎหมายกำหนดให้เป็นการใช้ดุลพินิจ ย่อมแสดงว่า กฎหมายไม่ได้บังคับให้เจ้าพนักงานจราจรต้องเรียกเก็บใบอนุญาตขับขี่ไว้ทุกครั้งที่มีการออกใบสั่ง กรณีนี้ เจ้าพนักงานจราจรก็ต้องใช้ดุลพินิจให้เหมาะสมแก่พฤติการณ์ หากในขณะกวดขันวินัยจราจรอยู่นั้น เป็นเวลากลางคืน หรือเป็นสถานที่ห่างไกลโรงพัก และในสถานที่ดังกล่าวนั้นไม่มีพนักงานสอบสวนที่จะทำการเปรียบเทียบ(ปรับ)อยู่ในพื้นที่เดียวกันหรือในระยะอันใกล้ หรือ กรณีเจ้าพนักงานจราจรยังไม่พร้อมจะนำส่งใบขับขี่ที่เรียกเก็บไว้ไปยังพนักงานสอบสวนท้องที่ได้โดยเร็ว หรือ เป็นกรณีของคนเดินทางไกลมาจากต่างจังหวัดและไม่ได้หยุดอยู่ในท้องนี้นั้น เหล่านี้ การเรียกเก็บใบอนุญาตขับขี่ไปย่อมทำให้เกิดความไม่สะดวกแก่ผู้ขับขี่เป็นอย่างมาก ในประเด็นนี้ ต้องขอให้เจ้าพนักงานจราจรพิจารณาถึงเหตุผลและสถานการณ์ประกอบการเรียกเก็บด้วย จึงจะเป็นการบังคับใช้กฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพ เหมาะสมและเป็นธรรม
เมื่อกรณีเจ้าพนักงานเรียกเก็บใบอนุญาตขับขี่ แต่ผู้ขับขี่ไม่ยินยอม จะมีความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 หรือไม่ ?
อำนาจการเรียกเก็บใบอนุญาตขับขี่ดังกล่าวนั้น กำหนดอยู่ใน พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 140 วรรคสาม ความว่า “ในการออกใบสั่งให้ผู้ขับขี่ชำระค่าปรับตามที่เปรียบเทียบตามวรรคหนึ่ง เจ้าพนักงานจราจรหรือพนักงานเจ้าหน้าที่จะเรียกเก็บใบอนุญาตขับขี่ไว้เป็นการชั่วคราวก็ได้ แต่ต้องออกใบรับแทนใบอนุญาตขับขี่ให้แก่ผู้ขับขี่ไว้ และเจ้าพนักงานจราจรหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ต้องรีบนำใบอนุญาตขับขี่ที่เรียกเก็บไว้ไปส่งมอบพนักงานสอบสวนภายในแปดชั่วโมง นับแต่เวลาที่ออกใบสั่ง” ซึ่งเมื่อพิจารณาตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 ลักษณะ 19 ในเรื่อง บทลงโทษ ก็ไม่ปรากฏว่ามีบทบัญญัติโทษกรณีที่ไม่ยินยอมตามมาตรา 140 วรรคสามไว้ ผมเห็นว่าน่าจะพอแสดงให้เห็นถึงเจตนารมณ์ของกฎหมายที่จะให้เป็นไปตามความสมัครใจของผู้ขับขี่ที่จะส่งมอบใบอนุญาตขับขี่ให้แก่เจ้าพนักงานด้วยส่วนหนึ่ง มิเช่นนั้นคงได้กำหนดบทลงโทษไว้ชัดเจนมาแต่ต้นแล้วเหมือนดังเช่นที่ได้กำหนดบทลงโทษผู้ที่ขัดคำสั่งเจ้าพนักงานจราจรหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งสั่งตามมาตรา ๑๔๐ วรรคสอง ตามความในมาตรา 150 (5) และนอกจากนี้ ผมยังมีความเห็นว่า "การเรียกเก็บ" คือ เรียกให้ส่งมอบ ไม่ใช่การฉกเอา ฉวยเอา หากผู้ขับขี่ไม่ยินยอมเจ้าพนักงานก็ไม่น่าจะมีอำนาจถึงขั้นดึงเอาไปจากผู้ขับขี่ได้
แล้วหากไม่ยอมส่งมอบจะเป็นการขัดคำสั่งเจ้าพนักงานตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 368 หรือไม่ ?
ในประเด็นนี้ ผมเห็นว่า การตีความกฎหมายซึ่งมีโทษทางอาญาต้องตีความอย่างเคร่งครัด และ ตามพจนานุกรม คำว่า “เรียก” ในกรณีนี้ มีความหมายว่า กำหนดเอา , ร้องเอา เช่น หมอเรียกค่ารักษาพยาบาล โจทก์เรียกค่าเสียหาย รัฐบาลเรียกเก็บภาษี กับ คำว่า “ยึด” ในกรณีนี้ มีความหมายว่า ใช้อำนาจรับสิ่งใดสิ่งหนึ่งมา เช่น ยึดใบขับขี่ ยึดทรัพย์ ผมเห็นว่าทั้งสองคำมีความหมายแตกต่างกันในเรื่องสภาพบังคับ ดังนี้ กรณีที่เจ้าพนักงานมีเพียงอำนาจเรียกเก็บใบอนุญาตขับขี่เท่านั้น จึงไม่อาจตีความว่าเป็นการออกคำสั่งโดยชอบตามกฎหมายได้ และนอกจากนี้ หากเป็นกรณีความผิดฐานการขัดคำสั่งที่ พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 ได้กำหนดบทลงโทษไว้โดยเฉพาะแล้วก็จะไม่เป็น ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 368 อีก ดังคำพิพากษาศาลฎีกาเรื่องต่อไปนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 728/2502
การที่จำเลยไม่ไปรายงานตนตามคำสั่งของเจ้าพนักงานจราจรนั้นไม่เป็นความผิดฐานขัดคำสั่งเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 368 อันเป็นบทกฎหมายทั่วไป เพราะ พระราชบัญญัติจราจรทางบกได้บัญญัติไว้เป็นพิเศษใน มาตรา 64 และ 67 ซึ่งอยู่ในส่วนที่ว่าด้วยบทกำหนดโทษ ว่า ถ้าจำเลยไม่ไปตามคำสั่งของเจ้าพนักงานจราจรดังกล่าว ห้ามมิให้เปรียบเทียบ ให้จัดการฟ้องจำเลยไปทีเดียว อันเป็นบทลงโทษจำเลยอยู่แล้ว (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 10/2502)
***อย่างไรก็ตาม ความเห็นต่างๆในโพสต์นี้เป็นเพียงความเห็นโดยส่วนตัวของผมเท่านั้น ซึ่งหากจะให้เป็นที่ยุติจำต้องศึกษาจากคำพิพากษาศาลฎีกาในเรื่องที่เกี่ยวข้องต่อไปครับ
หวังว่าจะเป็นประโยชน์แก่ท่านผู้อ่านไม่มากก็น้อย ซึ่งหากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามเข้ามาได้ และช่วยกันเผยแพร่ให้เป็นความรู้แก่บุคคลทั่วไปครับ
ที่ปรึกษากฎหมาย นิติ ลอว์
#ปรึกษากฎหมาย #ยึดใบขับขี่
“การเรียกเก็บใบอนุญาตขับขี่ไว้เป็นการชั่วคราว” นั้น เป็นการใช้ดุลพินิจของเจ้าพนักงาน มีวัตถุประสงค์ที่จะให้ผู้ขับขี่ที่ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 รีบไปชำระค่าปรับตามคำสั่งของเจ้าพนักงานจราจรโดยเร็ว เพื่อจะได้รับใบอนุญาตขับขี่คืนจากพนักงานสอบสวนทันที อันจะทำให้สามารถขับขี่รถต่อไปได้โดยถูกต้องตามกฎหมาย ทั้งนี้ เจ้าพนักงานจราจรต้อง ให้ใบรับแทนใบอนุญาตขับขี่ที่ออกให้ใช้แทนใบอนุญาตขับขี่ได้เป็นการชั่วคราวไม่เกินเจ็ดวัน หรือใบรับการส่งธนาณัติ หรือใบรับการส่งตั๋วแลกเงิน ประกอบกับใบสั่งเป็นใบแทนใบอนุญาตขับขี่ได้เป็นเวลาสิบวันนับแต่วันที่ส่งธนาณัติหรือตั๋วแลกเงิน
“การสั่งยึดใบอนุญาตขับขี่” เป็นอำนาจของ ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ผู้บัญชาการตำรวจภูธร ผู้บังคับการตำรวจจราจร ผู้บังคับการตำรวจทางหลวง ตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 ครั้งละไม่เกินหกสิบวัน และผู้ขับขี่มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งได้ตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 161 ทั้งนี้ กรณีเจ้าพนักงานจราจรจะเป็นผู้สั่งยึดจะต้องได้รับมอบอำนาจจากผู้มีอำนาจข้างต้นเสียก่อนจึงจะมีอำนาจสั่งยึดได้
เมื่อพิจารณาจากใจความสำคัญทั้งสองประเด็นนี้แล้วจะเห็นได้ว่า ทั้งสองกรณีมีความแตกต่างกันอยู่พอสมควร โดยการเรียกเก็บใบอนุญาตขับขี่เมื่อมีการออกใบสั่งนั้นไม่ใช่การลงโทษ มีวัตถุประสงค์เพียงเพื่อกระตุ้นให้ผู้ขับขี่เร่งไปชำระค่าปรับเพื่อให้การขับขี่ครั้งต่อไปไม่เป็นการฝ่าฝืนกฎหมายเท่านั้น แต่การสั่งยึดใบอนุญาตขับขี่เป็นการชั่วคราวนั้น มีลักษณะเป็นลงโทษชัดเจน ซึ่งหากผู้รับคำสั่งไม่เห็นด้วยก็สามารถใช้สิทธิ์อุทธรณ์ได้ตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป จากคำพิพากษาศาลฎีกาฉบับนี้จึงเป็นการให้ความกระจ่างชัดในข้อสงสัยของหลายท่านได้ดีทีเดียว ศึกษารายละเอียดตามคำพิพากษาด้านล่างนี้ครับ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1669/2559
การที่ พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 140, 141, 161 ทวิ กำหนดให้เจ้าพนักงานจราจรใช้ดุลพินิจเรียกเก็บใบอนุญาตขับขี่ไว้เป็นการชั่วคราว และให้ใบรับแทนใบอนุญาตขับขี่ที่ออกให้ใช้แทนใบอนุญาตขับขี่ได้เป็นการชั่วคราวไม่เกินเจ็ดวัน หรือใบรับการส่งธนาณัติ หรือใบรับการส่งตั๋วแลกเงิน ประกอบกับใบสั่งเป็นใบแทนใบอนุญาตขับขี่ได้เป็นเวลาสิบวันนับแต่วันที่ส่งธนาณัติหรือตั๋วแลกเงิน เมื่อเจ้าพนักงานจราจรผู้ออกใบสั่งมิได้รับมอบอำนาจจากผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ผู้บัญชาการตำรวจภูธร ผู้บังคับการตำรวจจราจร ผู้บังคับการตำรวจทางหลวง ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจสั่งยึดใบอนุญาตขับขี่ที่ได้กระทำความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 ครั้งละไม่เกินหกสิบวัน และผู้ขับขี่มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งได้ตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 161 จึงไม่มีอำนาจสั่งยึดใบอนุญาตขับขี่ตามบทบัญญัติดังกล่าว กรณีจึงไม่อาจแปลความคำว่า "เรียกเก็บใบอนุญาตขับขี่ไว้เป็นการชั่วคราว" ตามมาตรา 140 วรรคสาม ว่า เป็นการยึดใบอนุญาตขับขี่ การที่จำเลยซึ่งเป็นผู้ได้รับใบอนุญาตปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้ประจำรถขับขี่รถในระหว่างที่เจ้าพนักงานจราจรเรียกเก็บใบอนุญาตขับขี่ไว้เป็นการชั่วคราว และพ้นกำหนดเวลาเจ็ดวันนับแต่วันที่เจ้าพนักงานจราจรออกใบรับแทนใบอนุญาตขับขี่แล้ว จึงมิใช่เป็นการปฏิบัติหน้าที่ในระหว่างถูกยึดใบอนุญาตขับรถตามกฎหมายว่าด้วยจราจรทางบกอันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.การขนส่งทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 152
..................................................................................
ที่นี้เรามาลงลึกในเรื่องการเรียกเก็บใบอนุญาตขับขี่ไว้เป็นการชั่วคราวกันต่อ
เมื่อกฎหมายกำหนดให้เป็นการใช้ดุลพินิจ ย่อมแสดงว่า กฎหมายไม่ได้บังคับให้เจ้าพนักงานจราจรต้องเรียกเก็บใบอนุญาตขับขี่ไว้ทุกครั้งที่มีการออกใบสั่ง กรณีนี้ เจ้าพนักงานจราจรก็ต้องใช้ดุลพินิจให้เหมาะสมแก่พฤติการณ์ หากในขณะกวดขันวินัยจราจรอยู่นั้น เป็นเวลากลางคืน หรือเป็นสถานที่ห่างไกลโรงพัก และในสถานที่ดังกล่าวนั้นไม่มีพนักงานสอบสวนที่จะทำการเปรียบเทียบ(ปรับ)อยู่ในพื้นที่เดียวกันหรือในระยะอันใกล้ หรือ กรณีเจ้าพนักงานจราจรยังไม่พร้อมจะนำส่งใบขับขี่ที่เรียกเก็บไว้ไปยังพนักงานสอบสวนท้องที่ได้โดยเร็ว หรือ เป็นกรณีของคนเดินทางไกลมาจากต่างจังหวัดและไม่ได้หยุดอยู่ในท้องนี้นั้น เหล่านี้ การเรียกเก็บใบอนุญาตขับขี่ไปย่อมทำให้เกิดความไม่สะดวกแก่ผู้ขับขี่เป็นอย่างมาก ในประเด็นนี้ ต้องขอให้เจ้าพนักงานจราจรพิจารณาถึงเหตุผลและสถานการณ์ประกอบการเรียกเก็บด้วย จึงจะเป็นการบังคับใช้กฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพ เหมาะสมและเป็นธรรม
เมื่อกรณีเจ้าพนักงานเรียกเก็บใบอนุญาตขับขี่ แต่ผู้ขับขี่ไม่ยินยอม จะมีความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 หรือไม่ ?
อำนาจการเรียกเก็บใบอนุญาตขับขี่ดังกล่าวนั้น กำหนดอยู่ใน พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 140 วรรคสาม ความว่า “ในการออกใบสั่งให้ผู้ขับขี่ชำระค่าปรับตามที่เปรียบเทียบตามวรรคหนึ่ง เจ้าพนักงานจราจรหรือพนักงานเจ้าหน้าที่จะเรียกเก็บใบอนุญาตขับขี่ไว้เป็นการชั่วคราวก็ได้ แต่ต้องออกใบรับแทนใบอนุญาตขับขี่ให้แก่ผู้ขับขี่ไว้ และเจ้าพนักงานจราจรหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ต้องรีบนำใบอนุญาตขับขี่ที่เรียกเก็บไว้ไปส่งมอบพนักงานสอบสวนภายในแปดชั่วโมง นับแต่เวลาที่ออกใบสั่ง” ซึ่งเมื่อพิจารณาตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 ลักษณะ 19 ในเรื่อง บทลงโทษ ก็ไม่ปรากฏว่ามีบทบัญญัติโทษกรณีที่ไม่ยินยอมตามมาตรา 140 วรรคสามไว้ ผมเห็นว่าน่าจะพอแสดงให้เห็นถึงเจตนารมณ์ของกฎหมายที่จะให้เป็นไปตามความสมัครใจของผู้ขับขี่ที่จะส่งมอบใบอนุญาตขับขี่ให้แก่เจ้าพนักงานด้วยส่วนหนึ่ง มิเช่นนั้นคงได้กำหนดบทลงโทษไว้ชัดเจนมาแต่ต้นแล้วเหมือนดังเช่นที่ได้กำหนดบทลงโทษผู้ที่ขัดคำสั่งเจ้าพนักงานจราจรหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งสั่งตามมาตรา ๑๔๐ วรรคสอง ตามความในมาตรา 150 (5) และนอกจากนี้ ผมยังมีความเห็นว่า "การเรียกเก็บ" คือ เรียกให้ส่งมอบ ไม่ใช่การฉกเอา ฉวยเอา หากผู้ขับขี่ไม่ยินยอมเจ้าพนักงานก็ไม่น่าจะมีอำนาจถึงขั้นดึงเอาไปจากผู้ขับขี่ได้
แล้วหากไม่ยอมส่งมอบจะเป็นการขัดคำสั่งเจ้าพนักงานตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 368 หรือไม่ ?
ในประเด็นนี้ ผมเห็นว่า การตีความกฎหมายซึ่งมีโทษทางอาญาต้องตีความอย่างเคร่งครัด และ ตามพจนานุกรม คำว่า “เรียก” ในกรณีนี้ มีความหมายว่า กำหนดเอา , ร้องเอา เช่น หมอเรียกค่ารักษาพยาบาล โจทก์เรียกค่าเสียหาย รัฐบาลเรียกเก็บภาษี กับ คำว่า “ยึด” ในกรณีนี้ มีความหมายว่า ใช้อำนาจรับสิ่งใดสิ่งหนึ่งมา เช่น ยึดใบขับขี่ ยึดทรัพย์ ผมเห็นว่าทั้งสองคำมีความหมายแตกต่างกันในเรื่องสภาพบังคับ ดังนี้ กรณีที่เจ้าพนักงานมีเพียงอำนาจเรียกเก็บใบอนุญาตขับขี่เท่านั้น จึงไม่อาจตีความว่าเป็นการออกคำสั่งโดยชอบตามกฎหมายได้ และนอกจากนี้ หากเป็นกรณีความผิดฐานการขัดคำสั่งที่ พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 ได้กำหนดบทลงโทษไว้โดยเฉพาะแล้วก็จะไม่เป็น ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 368 อีก ดังคำพิพากษาศาลฎีกาเรื่องต่อไปนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 728/2502
การที่จำเลยไม่ไปรายงานตนตามคำสั่งของเจ้าพนักงานจราจรนั้นไม่เป็นความผิดฐานขัดคำสั่งเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 368 อันเป็นบทกฎหมายทั่วไป เพราะ พระราชบัญญัติจราจรทางบกได้บัญญัติไว้เป็นพิเศษใน มาตรา 64 และ 67 ซึ่งอยู่ในส่วนที่ว่าด้วยบทกำหนดโทษ ว่า ถ้าจำเลยไม่ไปตามคำสั่งของเจ้าพนักงานจราจรดังกล่าว ห้ามมิให้เปรียบเทียบ ให้จัดการฟ้องจำเลยไปทีเดียว อันเป็นบทลงโทษจำเลยอยู่แล้ว (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 10/2502)
***อย่างไรก็ตาม ความเห็นต่างๆในโพสต์นี้เป็นเพียงความเห็นโดยส่วนตัวของผมเท่านั้น ซึ่งหากจะให้เป็นที่ยุติจำต้องศึกษาจากคำพิพากษาศาลฎีกาในเรื่องที่เกี่ยวข้องต่อไปครับ
หวังว่าจะเป็นประโยชน์แก่ท่านผู้อ่านไม่มากก็น้อย ซึ่งหากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามเข้ามาได้ และช่วยกันเผยแพร่ให้เป็นความรู้แก่บุคคลทั่วไปครับ
ที่ปรึกษากฎหมาย นิติ ลอว์
#ปรึกษากฎหมาย #ยึดใบขับขี่