วันนี้ถือเป็นวันสำคัญของวงการกฎหมายวันหนึ่ง เรียกกันสั้นๆว่า "วันรพี"
เนื่องจากพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ทรงสิ้นพระชนม์ ในวันที่ ๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๖๓
พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์เป็นพระราชโอรสองค์ที่
14 ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระองค์ที่ 2
ในเจ้าจอมมารดาตลับ
พระองค์ทรงเปรียบได้ดั่งบิดาของวงการกฎหมายสมัยใหม่ของไทย
พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ทรงเป็นเสนาบดีกระทรวงยุติธรรม
พระองค์ทรงมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการปฏิรูปการศาล
ซึ่งปัญหาสำคัญสำหรับศาลไทยในเวลานั้น คือ เรื่องของศาลกงสุลต่างชาติ
ที่มีอยู่เป็นจำนวนมากในยุคนั้น
เป็นที่รู้กันว่าชาวต่างเหล่านี้มีอำนาจอิทธิพลมาก
เมื่อเกิดคดีความหรือข้อโต้แย้ง ชาวไทยมักตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
เพราะชาวต่างชาติมักจะอ้างว่ากฎหมายยังล้าหลังไม่ทันสมัยเพื่อเป็นข้ออ้าง
เอาเปรียบชาวไทยซึ่งสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการที่ผู้พิพากษาและเจ้าหน้าที่ศาล
ของไทยยังไม่พร้อมที่จะรับข้อกฎหมายใหม่ๆ ในเวลานั้น
พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ทรงแก้ปัญหาเรื่องนี้โดยการจ้างชาวต่างชาติมาเป็น
ผู้พิพากษาเป็นเหตุให้ผู้พิพากษาศาลไทยเกิดความกระตือรือร้นเร่งศึกษาชา
กฎหมายไทยและต่างประเทศทำให้ศาลไทยมีความเชื่อถือมากขึ้นและเป็นที่ยอมรับ
ของชาวต่างชาติ
ถึงกับยกเลิกศาลกงสุลยอมให้คนชาติตัวเองมาขึ้นศาลไทยนอกจากนั้น
ยังทรงปฏิรูปการศาลในด้านอื่นอีกมากมาย อาทิ
ขอพระราชทานพระบรมราชาอนุญาตให้ศาลในสังกัดกระทรวงยุติธรรมสามารถกำหนดโทษ
เองได้ เนื่องจากในสมัยนั้นเมื่อศาลกำหนดโทษจำคุกผู้ต้องหาแล้ว
ต้องให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงกำหนดเวลาให้อีกชั้นหนึ่ง
ซึ่งเป็นเหตุของความล่าช้าในวงการศาล
ทรงปรับปรุงเงินเดือนผู้พิพากษาให้เหมาะสมกับตำแหน่งหน้าที่
ออกประกาศ ออกประกาศยกเลิก หรือแก้ไขพระราชบัญญัติ กฎเสนาบดีกว่า 60 ฉบับ
เพื่อแก้ไขจุดที่บกพร่อง เพิ่มสิทธิของคู่ความให้เท่าเทียมกัน
หรือแก้ไขบทลงโทษที่ล้าหลัง
หมายเหตุ
ที่มาข้อมูล วิกิพีเดีย
http://th.wikipedia.org/wiki/รพี
ให้คำปรึกษาและบริการทางกฎหมายด้วยระบบออนไลน์ โทร.0815709610 Line ID: nitilaw
วันพุธที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2557
วันอาทิตย์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2557
กรณีมีผู้ลักบัตรเครดิตไปใช้ซื้อสินค้า ใครต้องรับผิดชอบ
วันนี้ขอเสนออุทาหรณ์ กรณีบัตรเครดิตหายไปแล้วมีคนนำไปใช้ ใครคือผู้ต้องรับผิดชอบครับ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1989/2552
ข้อตกลงการใช้บัตรวีซ่า ข้อ 8 ที่กำหนดให้จำเลยต้องรับผิดต่อโ จทก์ในกรณีที่บัตรเครดิตสูญหาย ถูกลักขโมย หรือถูกใช้โดยบุคลอื่นโดยมิได้ร ับอนุญาตจากผู้ถือบัตร (จำเลย) ที่ได้แจ้งข้อเท็จจริงดังกล่าวใ ห้ศูนย์บัตรเครดิตของธนาคาร (โจทก์) ทราบแล้วโดยพลัน เพื่อให้ระงับการใช้บัตรเครดิต ในภาระหนี้สินที่เกิดขึ้นก่อนมี การแจ้งดังกล่าวในจำนวนเงินที่เกิดจา กการใช้บัตรเครดิตของผู้ถือบัตร ซึ่งถูกนำไปใช้โดยมิชอบ รวมถึงภาระหนี้สินที่เกิดขึ้นหล ังจากแจ้งให้ธนาคารทราบแล้วไม่เ กิน 5 นาที นอกจากจะขัดแย้งกับข้อตกลงการใช ้บัตรวีซ่า ข้อ 6 วรรคสอง แล้ว ยังถือเป็นข้อสัญญาที่ทำให้จำเล ยต้องรับภาระในหนี้ที่เกิดจากกา รใช้บัตรเครดิตที่จำเลยไม่ได้ก่ อขึ้น และไม่ได้อยู่ในความรับผิดชอบขอ งจำเลย ทั้งโจทก์ยังมีทางแก้ไขความเสีย หายของโจทก์ได้ โดยหากโจทก์ตรวจสอบแล้วปรากฎว่า ลายมือชื่อผู้ใช้บัตรเครดิตในเซ ลสลิปไม่ตรงกับลายมือชื่อของจำเ ลยผู้ถือบัตร โจทก์สามารถเรียกเงินที่ได้จ่าย ไปคืนจากร้านค้าได้ ฉะนั้น เมื่อโจทก์ได้รับแจ้งจากจำเลยว่ าบัตรเครดิตได้สูญหายไปเพื่อขอใ ห้โจทก์ระงับการใช้บัตรเครดิต โจทก์จะต้องรีบดำเนินการให้จำเล ยโดยเร็ว ก็จะทราบได้ทันทีว่าลายมือชื่อผ ู้ใช้บัตรเครดิตในเซลสลิปไม่ตรง กับลายมือชื่อของจำเลย แสดงว่าร้านค้าไม่ได้ใช้ความระม ัดระวังตรวจสอบลายมือชื่อในเซลส ลิป ย่อมทำให้โจทก์มีสิทธิที่จะเรีย กเงินที่ชำระไปแล้วคืนจากร้านเจ มาร์ทแทนการมาเรียกเก็บจากจำเลย ได้ ซึ่งเป็นธรรมกับทุกฝ่าย แต่โจทก์มิได้ทำเช่นนั้น โดยเห็นว่ามีข้อตกลงการใช้บัตรว ีซ่า ข้อ 8 ที่ให้จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์อ ยู่แล้ว ถือเป็นการเอาเปรียบจำเลยเกินสม ควรและเป็นการผลักภาระให้จำเลยต ้องรับผิดเกินกว่าวิญญูชนทั่วไป จะคาดหมายได้ตามปกติ อันเข้าลักษณะข้อสัญญาที่ไม่เป็ นธรรม ข้อตกลงการใช้บัตรวีซ่า ข้อ 8 จึงไม่มีผลใช้บังคับ จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชำระหนี้ใ ห้โจทก์
คดีนี้ธนาคารได้เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องจำเลยซึ่งเป็นสมาชิกผู้ ถือ
บัตรวีซ่า โดยอ้างสัญญาการใช้บัตรที่ว่า "ผู้ถือบัตรต้องรับผิดชอบแม้
บัตรเครดิตสูญหาย ถูกลักขโมย หรือถูกใช้โดยบุคลอื่นโดยมิได้ร ับอนุญาตจากผู้ถือบัตร ก็ตาม"
แต่ผู้ถือบัตรในคดีนี้ได้รีบแจ้ งอายัดบัตรแล้วโดยทันที มีผลทำให้ ธนาคารเกิดภาระหน้าที่ต้องเร่งต รวจสอบความถูกต้องของรายการใช้บ ัตรเครดิตนั้น และศาลฎีกายังได้อธิบายถึงหนทางเยีย วยาแก้ไขความเสียหายของธนาคารไว ้ด้วยว่า เมื่อตรวจสอบเอกสารแล้วลายมือชื ่อที่เซ็นไว้กับบัตรไม่ตรงกัน ธนาคารย่อมเรียกร้องเอาเงินที่ท ดรองจ่ายไปก่อนนั้นคืนจากร้านค้ าได้ การที่มาฟ้องผู้ถือบัตรตามข้อสั ญญาว่าต้องรับผิดนั้นไม่ถูกต้อง และยังได้ชี้ว่าข้อสัญญาดังกล่าว นั้นเป็นข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็ นธรรม พ.ศ.2540 มาตรา 4 อีกด้วย
หวังกรณีอุทาหรณ์คดีนี้จะเป็นปร ะโยชน์แก่ท่านผู้อ่าน ส่วนเหตุที่ธนาคารสามารถเรียกร้อ งเอาเงินคืนจากร้านค้าได้ด้วยเห ตุผลและหลักกฎหมายใดนั้นติดตามต่อครั้งหน้า ครับ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1989/2552
ข้อตกลงการใช้บัตรวีซ่า ข้อ 8 ที่กำหนดให้จำเลยต้องรับผิดต่อโ
คดีนี้ธนาคารได้เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องจำเลยซึ่งเป็นสมาชิกผู้
แต่ผู้ถือบัตรในคดีนี้ได้รีบแจ้
หวังกรณีอุทาหรณ์คดีนี้จะเป็นปร
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)