วันอาทิตย์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2557

กรณีมีผู้ลักบัตรเครดิตไปใช้ซื้อสินค้า ใครต้องรับผิดชอบ

วันนี้ขอเสนออุทาหรณ์ กรณีบัตรเครดิตหายไปแล้วมีคนนำไปใช้  ใครคือผู้ต้องรับผิดชอบครับ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1989/2552

ข้อตกลงการใช้บัตรวีซ่า ข้อ 8 ที่กำหนดให้จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์ในกรณีที่บัตรเครดิตสูญหาย ถูกลักขโมย หรือถูกใช้โดยบุคลอื่นโดยมิได้รับอนุญาตจากผู้ถือบัตร (จำเลย) ที่ได้แจ้งข้อเท็จจริงดังกล่าวให้ศูนย์บัตรเครดิตของธนาคาร (โจทก์) ทราบแล้วโดยพลัน เพื่อให้ระงับการใช้บัตรเครดิต ในภาระหนี้สินที่เกิดขึ้นก่อนมีการแจ้งดังกล่าวในจำนวนเงินที่เกิดจากการใช้บัตรเครดิตของผู้ถือบัตร ซึ่งถูกนำไปใช้โดยมิชอบ รวมถึงภาระหนี้สินที่เกิดขึ้นหลังจากแจ้งให้ธนาคารทราบแล้วไม่เกิน 5 นาที นอกจากจะขัดแย้งกับข้อตกลงการใช้บัตรวีซ่า ข้อ 6 วรรคสอง แล้ว ยังถือเป็นข้อสัญญาที่ทำให้จำเลยต้องรับภาระในหนี้ที่เกิดจากการใช้บัตรเครดิตที่จำเลยไม่ได้ก่อขึ้น และไม่ได้อยู่ในความรับผิดชอบของจำเลย ทั้งโจทก์ยังมีทางแก้ไขความเสียหายของโจทก์ได้ โดยหากโจทก์ตรวจสอบแล้วปรากฎว่าลายมือชื่อผู้ใช้บัตรเครดิตในเซลสลิปไม่ตรงกับลายมือชื่อของจำเลยผู้ถือบัตร โจทก์สามารถเรียกเงินที่ได้จ่ายไปคืนจากร้านค้าได้ ฉะนั้น เมื่อโจทก์ได้รับแจ้งจากจำเลยว่าบัตรเครดิตได้สูญหายไปเพื่อขอให้โจทก์ระงับการใช้บัตรเครดิต โจทก์จะต้องรีบดำเนินการให้จำเลยโดยเร็ว ก็จะทราบได้ทันทีว่าลายมือชื่อผู้ใช้บัตรเครดิตในเซลสลิปไม่ตรงกับลายมือชื่อของจำเลย แสดงว่าร้านค้าไม่ได้ใช้ความระมัดระวังตรวจสอบลายมือชื่อในเซลสลิป ย่อมทำให้โจทก์มีสิทธิที่จะเรียกเงินที่ชำระไปแล้วคืนจากร้านเจมาร์ทแทนการมาเรียกเก็บจากจำเลยได้ ซึ่งเป็นธรรมกับทุกฝ่าย แต่โจทก์มิได้ทำเช่นนั้น โดยเห็นว่ามีข้อตกลงการใช้บัตรวีซ่า ข้อ 8 ที่ให้จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์อยู่แล้ว ถือเป็นการเอาเปรียบจำเลยเกินสมควรและเป็นการผลักภาระให้จำเลยต้องรับผิดเกินกว่าวิญญูชนทั่วไปจะคาดหมายได้ตามปกติ อันเข้าลักษณะข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม ข้อตกลงการใช้บัตรวีซ่า ข้อ 8 จึงไม่มีผลใช้บังคับ จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชำระหนี้ให้โจทก์

คดีนี้ธนาคารได้เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องจำเลยซึ่งเป็นสมาชิกผู้ถือ บัตรวีซ่า โดยอ้างสัญญาการใช้บัตรที่ว่า "ผู้ถือบัตรต้องรับผิดชอบแม้ บัตรเครดิตสูญหาย ถูกลักขโมย หรือถูกใช้โดยบุคลอื่นโดยมิได้รับอนุญาตจากผู้ถือบัตร ก็ตาม"

แต่ผู้ถือบัตรในคดีนี้ได้รีบแจ้งอายัดบัตรแล้วโดยทันที มีผลทำให้ ธนาคารเกิดภาระหน้าที่ต้องเร่งตรวจสอบความถูกต้องของรายการใช้บัตรเครดิตนั้น และศาลฎีกายังได้อธิบายถึงหนทางเยียวยาแก้ไขความเสียหายของธนาคารไว้ด้วยว่า  เมื่อตรวจสอบเอกสารแล้วลายมือชื่อที่เซ็นไว้กับบัตรไม่ตรงกัน ธนาคารย่อมเรียกร้องเอาเงินที่ทดรองจ่ายไปก่อนนั้นคืนจากร้านค้าได้ การที่มาฟ้องผู้ถือบัตรตามข้อสัญญาว่าต้องรับผิดนั้นไม่ถูกต้อง และยังได้ชี้ว่าข้อสัญญาดังกล่าวนั้นเป็นข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม พ.ศ.2540 มาตรา 4 อีกด้วย

หวังกรณีอุทาหรณ์คดีนี้จะเป็นประโยชน์แก่ท่านผู้อ่าน ส่วนเหตุที่ธนาคารสามารถเรียกร้องเอาเงินคืนจากร้านค้าได้ด้วยเหตุผลและหลักกฎหมายใดนั้นติดตามต่อครั้งหน้าครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น