วันเสาร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2558

วันนี้มาคุยกันเรื่องของการใช้ (ว.) ในการทำงานกันครับ

               การใช้งานวิทยุสื่อสารในชีวิตประจำวันเป็นเรื่องที่พบเห็นได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็น บริษัท ห้างร้าน ตลอดจนหน่วยงานต่างๆ ได้มีการนำวิทยุสื่อสาร (ว.) มาใช้ในการติดต่อสื่อสารของบุคลกรในการทำงานอย่างกว้างขวาง ซึ่งนิยมใช้กันทั้ง ว.ดำ และ ว.แดง แต่มีเพียงบางส่วนที่จะรู้ว่าการใช้งานวิทยุสื่อสาร จะต้องมีการขอใบอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยวิทยุคมนาคม เสียก่อนจึงจะนำมาใช้งานได้ ไม่เช่นนั้นจะมีความผิดตามกฎหมาย ซึ่งมีโทษทางอาญา ทั้งนี้ ไม่รวมถึง วิทยุสื่อสารประเภทที่เป็นเครื่องเถื่อน และ เครื่องปลอม วิทยุสื่อสารจำพวกนี้มีราคาค่าตัวถูกกว่าวิทยุสื่อสารที่นำเข้าอย่างถูกต้อง และเป็นของแท้จากบริษัทผู้ผลิตอยู่มาก เหตุที่บอกว่าไม่รวมถึงนั้นก็เพราะเครื่องเถื่อนและเครื่องปลอมดังกล่าวจะ ไม่สามารถขอใบอนุญาตเพื่อการนำมาใช้งานได้ตามกฎหมายอยู่แล้ว อีกทั้งเป็นทรัพย์ที่มีไว้เป็นความผิด เจ้าหน้าที่พบเห็นก็สามารถจับกุมได้ทันที พูดง่ายๆ มีก็ผิดเต็มประตู



                ในส่วนของประชาชน หรือผู้ประกอบธุรกิจต่างๆนั้น ท่านสามารถนำวิทยุสื่อสารมาใช้งานในทางธุรกิจของตนหรือส่วนตัวได้เพียงวิทยุ สื่อสารความถี่ประชาชน (Citizen Band) หรือที่นิยมเรียกกันว่าวิทยุสื่อสารเครื่องแดงเท่านั้น ส่วนวิทยุสื่อสารเครื่องดำนั้น เป็นวิทยุสื่อสารที่กฎหมายกำหนดให้ใช้ในกิจการเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็น ในงานของทางราชการ หรือในกิจการวิทยุสมัครเล่น เป็นต้น จึงไม่สามารถนำมาใช้ในทางธุรกิจโดยประชาชนทั่วไปได้

                แต่อย่างไรก็ตามการจะนำวิทยุสื่อสารความถี่ประชาชนมาใช้งานได้อย่างถูก กฎหมายนั้น ก็ต้องมีการขอใบอนุญาตให้ “ใช้” ในกรณีวิทยุแบบมือถือ และต้องมีใบอนุญาตให้ “ตั้งสถานี” ในกรณีมีการตั้งสถานีวิทยุสื่อสารในรถ หรือที่สำนักงาน หากไม่มีใบอนุญาตแล้วนำไปใช้ หรือตั้งสถานี ก็จะมีความผิดตาม พ.ร.บ.วิทยุคมนาคม พ.ศ. ๒๔๙๘ ในมาตรา ๖ ต้องระวางโทษ ปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือจำคุกไม่เกินห้าปี หรือทั้งปรับทั้งจำ ตามความใน มาตรา ๒๓

                การยื่นขอใบอนุญาตท่านสามารถยื่นขอรับใบอนุญาตดังกล่าวได้ที่สำนักงาน ก.ส.ท.ช. และสำนักงานสาขาทั่วประเทศ

**** ความผิดตาม พ.ร.บ. วิทยุคมนาคม พ.ศ. ๒๔๙๘ เป็นความผิดที่สามารถเปรียบเทียบได้โดยเจ้าพนักงานผู้ออกใบอนุญาต (ก.ส.ท.ช.) ตามความใน มาตรา ๒๑ ของ พ.ร.บ. ดังกล่าว แต่ถึงจะเปรียบเทียบปรับได้ก็ตาม ค่าใช้จ่ายในการขอออกใบอนุญาตนั้นไม่มากมายอะไร ย่อมคุ้มค่ากว่าการต้องมาถูกดำเนินคดีอย่างแน่นอนครับ
หวังว่าจะเป็นประโยชน์แก่ท่านผู้อ่านไม่มากก็น้อย ซึ่งหากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามเข้ามาได้ และช่วยกันเผยแพร่ให้เป็นความรู้แก่บุคคลทั่วไปครับ ที่ปรึกษากฎหมาย นิติ ลอว์






ที่ปรึกษากฎหมาย นิติ ลอว์

#‎
ปรึกษากฎหมาย‬ ‪#‎วิทยุสื่อสาร‬

วันเสาร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2558

“หักกลบลบหนี้”

               ในทางการค้าขายการเป็นหนี้นั้นถือเป็นเรื่องปกติ โดยบ่อยครั้งคู่ค้าทั้งสองฝ่ายก็ต่างเป็นหนี้ซึ่งกันและกัน ซึ่งการชำระหนี้นั้นทำได้หลายวิธี คือ ชำระเงิน หรือนำทรัพย์สินมาตีราคาชำระหนี้ หรืออาจจะใช้วิธีหักกลบลบหนี้กันไปก็ทำได้

               โดยหลักทางกฎหมายแล้ว การตกลงซื้อขายสินค้าซึ่งกันและกันและมีหนี้เงินที่จะต้องชำระต่อกันอยู่และ ถึงกำหนดชำระแล้ว ก็สามารถนำหนี้นั้นมาหักกลบลบหนี้กันได้ เว้นแต่สภาพแห่งหนี้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะไม่เปิดช่องให้หักกลบลบกันได้ หรือคู่ค้าได้ตกลงกันไว้ก่อนแล้วว่าจะไม่ทำการหักกลบลบหนี้ต่อกัน

               ซึ่งการหักกลบลบหนี้กันนั้น ทำได้โดยคู่ค้าฝ่ายหนึ่งบอกกล่าวไปยังอีกฝ่ายหนึ่ง และการบอกกล่าวต้องมีผลบังคับใช้ได้ในทันทีจะมีเงื่อนไขหรือเงื่อนเวลาไม่ ได้
เมื่อหักกลบลบหนี้กันแล้วขาดเหลืออยู่ที่ฝ่ายไหนก็ชำระเงินกันไป หนี้ก็เป็นอันจบ เช่นนี้ คือการหักกลบลบหนี้ตามปกติที่เห็นกันอยู่ แต่ท่านทราบหรือไม่ว่า การหักกลบลบหนี้นั้นสามารถกระทำบนชั้นศาลในการต่อสู้คดีได้ด้วย นั่นก็คือ เมื่อโจทก์ฟ้องคดีให้จำเลยชำระหนี้ หากข้อเท็จจริงได้ความว่าโจทก์และจำเลยต่างมีหนี้ต่อกันก็สามารถนำหลัก เรื่องหักกลบลบหนี้ มาเป็นประเด็นต่อสู้ในคำให้การได้ด้วย



               แต่ถ้าหนี้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งยังมีข้อโต้แย้งกันอยู่ เช่นนี้จะนำมาหักกลบลบหนี้กันได้หรือไม่ ?
ในกรณีนี้มีคำพิพากษาศาลฎีกาที่น่าสนใจอยู่เรื่องหนึ่ง ซึ่งท่านที่ประกอบการค้าก็ดี เพื่อนๆทนายความก็ดี น่าลองศึกษาไว้เป็นความรู้ครับ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7001/2557
                โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยคืนเงินค่าสินค้าที่โจทก์ชำระไป เนื่องจากจำเลยไม่ส่งมอบสินค้าให้แก่โจทก์ตามสัญญา จำเลยอ้างว่าโจทก์มีหนี้ค่าเสียหายที่ต้องรับผิดต่อจำเลย จากการไม่ชำระค่าสินค้าและรับมอบสินค้าทั้งหมดภายในกำหนด แต่โจทก์ปฏิเสธความรับผิด เช่นนี้ถือว่าหนี้ค่าเสียหายหรือสิทธิเรียกร้องดังกล่าวยังมีข้อต่อสู้อยู่ จำเลยมิได้ฟ้องแย้งเพื่อให้ได้ข้อยุติว่า โจทก์จะต้องรับผิดต่อจำเลยหรือไม่ เพียงใด จำเลยจึงนำหนี้ค่าเสียหายหรือสิทธิเรียกร้องดังกล่าว ซึ่งจำเลยอ้างเพียงฝ่ายเดียวมาหักกลบลบหนี้กับเงินค่าสินค้าของโจทก์ไม่ได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๓๔๔

 ________________________________

                 จากคำตัดสินของศาลสูงดังกล่าว จะเห็นได้ว่า การหักกลบลบหนี้นั้นสามารถนำมาเป็นข้อต่อสู้ทางคดีกันได้ แต่หากอีกฝ่ายโต้แย้งว่าหนี้นั้นยังไม่ถูกต้องก็เท่ากับว่ามูลหนี้ที่ยกขึ้น ต่อสู้เพื่อนำมาหักกลบลบหนี้กับโจทก์ยังไม่เป็นที่ยุติ จึงเป็นภาระของฝ่ายจำเลยที่จะต้องพิสูจน์ แต่ในคดีดังกล่าวจำเลยไม่ได้ฟ้องแย้ง(การฟ้องกลับไปในคดีเดียวกัน) จึงไม่สามารถพิสูจน์ให้เป็นข้อยุติในเรื่องมูลหนี้ที่จะนำมาหักทอนกันได้ ทำให้ต้องเสียประโยชน์ไปในที่สุด

               หวังว่าจะเป็นความรู้แก่ท่านผู้อ่านไม่มากก็น้อย ซึ่งหากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามเข้ามาได้ และช่วยกันเผยแพร่ให้เป็นความรู้แก่บุคคลทั่วไปครับ


ที่ปรึกษากฎหมาย นิติ ลอว์
#ปรึกษากฎหมาย‬  ‪#‎หักกลบลบหนี้‬