โดยหลักทางกฎหมายแล้ว การตกลงซื้อขายสินค้าซึ่งกันและกันและมีหนี้เงินที่จะต้องชำระต่อกันอยู่และ ถึงกำหนดชำระแล้ว ก็สามารถนำหนี้นั้นมาหักกลบลบหนี้กันได้ เว้นแต่สภาพแห่งหนี้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะไม่เปิดช่องให้หักกลบลบกันได้ หรือคู่ค้าได้ตกลงกันไว้ก่อนแล้วว่าจะไม่ทำการหักกลบลบหนี้ต่อกัน
ซึ่งการหักกลบลบหนี้กันนั้น ทำได้โดยคู่ค้าฝ่ายหนึ่งบอกกล่าวไปยังอีกฝ่ายหนึ่ง และการบอกกล่าวต้องมีผลบังคับใช้ได้ในทันทีจะมีเงื่อนไขหรือเงื่อนเวลาไม่ ได้
เมื่อหักกลบลบหนี้กันแล้วขาดเหลืออยู่ที่ฝ่ายไหนก็ชำระเงินกันไป หนี้ก็เป็นอันจบ เช่นนี้ คือการหักกลบลบหนี้ตามปกติที่เห็นกันอยู่ แต่ท่านทราบหรือไม่ว่า การหักกลบลบหนี้นั้นสามารถกระทำบนชั้นศาลในการต่อสู้คดีได้ด้วย นั่นก็คือ เมื่อโจทก์ฟ้องคดีให้จำเลยชำระหนี้ หากข้อเท็จจริงได้ความว่าโจทก์และจำเลยต่างมีหนี้ต่อกันก็สามารถนำหลัก เรื่องหักกลบลบหนี้ มาเป็นประเด็นต่อสู้ในคำให้การได้ด้วย
แต่ถ้าหนี้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งยังมีข้อโต้แย้งกันอยู่ เช่นนี้จะนำมาหักกลบลบหนี้กันได้หรือไม่ ?
ในกรณีนี้มีคำพิพากษาศาลฎีกาที่น่าสนใจอยู่เรื่องหนึ่ง ซึ่งท่านที่ประกอบการค้าก็ดี เพื่อนๆทนายความก็ดี น่าลองศึกษาไว้เป็นความรู้ครับ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7001/2557
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยคืนเงินค่าสินค้าที่โจทก์ชำระไป เนื่องจากจำเลยไม่ส่งมอบสินค้าให้แก่โจทก์ตามสัญญา จำเลยอ้างว่าโจทก์มีหนี้ค่าเสียหายที่ต้องรับผิดต่อจำเลย จากการไม่ชำระค่าสินค้าและรับมอบสินค้าทั้งหมดภายในกำหนด แต่โจทก์ปฏิเสธความรับผิด เช่นนี้ถือว่าหนี้ค่าเสียหายหรือสิทธิเรียกร้องดังกล่าวยังมีข้อต่อสู้อยู่ จำเลยมิได้ฟ้องแย้งเพื่อให้ได้ข้อยุติว่า โจทก์จะต้องรับผิดต่อจำเลยหรือไม่ เพียงใด จำเลยจึงนำหนี้ค่าเสียหายหรือสิทธิเรียกร้องดังกล่าว ซึ่งจำเลยอ้างเพียงฝ่ายเดียวมาหักกลบลบหนี้กับเงินค่าสินค้าของโจทก์ไม่ได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๓๔๔
________________________________
หวังว่าจะเป็นความรู้แก่ท่านผู้อ่านไม่มากก็น้อย ซึ่งหากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามเข้ามาได้ และช่วยกันเผยแพร่ให้เป็นความรู้แก่บุคคลทั่วไปครับ
ที่ปรึกษากฎหมาย นิติ ลอว์ #ปรึกษากฎหมาย #หักกลบลบหนี้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น