วันเสาร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2560

“ค่างวดรถ” ชำระไม่ไหวให้เร่งส่งมอบรถคืน

               อย่างที่ได้เคยเล่าสู่กันฟังว่า เมื่อได้เช่าซื้อรถยนต์มาแล้วก็มีหน้าที่ต้องผ่อนชำระค่างวด ซึ่งหากผิดนัดแล้วผู้ให้เช่าซื้อมาติดตามยึดรถคืนไปก็มักจะถูกดำเนินคดีเรียกค่าเสียหายจากเหตุขายทอดตลาดรถคันดังกล่าวแล้วได้ราคาไม่คุ้มทุน พูดง่ายๆถูกยึดแล้วยังถูกฟ้องเรียกค่าส่วนต่างมาอีก
               ในครั้งนี้ เรามาพูดคุยกันถึงกรณีที่เช่าซื้อรถมาแล้วแต่เกิดเหตุขัดสนจนไม่สามารถชำระค่าเช่าซื้อต่อไปได้ควรทำอย่างไร ? 

                แน่นอนครับว่า เช่าซื้อรถมาแล้วหากติดขัด แต่ถ้ายังพอถูๆไถ่ หาทางออกกันไปได้ก็ “สู้ต่อไปนะทาเคชิ” เพื่อรถแสนรักของเราๆท่านๆ แต่ถ้าเห็นการณ์ข้างหน้าแล้วว่า ไม่ไหวแน่ๆ จะทำอย่างไรกันได้บ้าง ซึ่งทางหนึ่งที่ผมจะแนะนำให้เป็นหนึ่งในทางเลือกเสมอ คือ “นำรถไปคืน” เหตุเพราะรถที่ใช้ส่วนบุคคลนั้นมีแต่เสียทรัพย์ไม่ได้ก่อทรัพย์ให้งอกเงย เหมือนดังเช่นรถยนต์ที่ใช้ในทางการค้า ดังนั้น หากยื้อต่อไปแล้วก็มีแต่จะเจ็บตัว เพราะ ราคารถก็ตกลงทุกวัน ค่างวดดอกเบี้ยก็บวกไปทุกเดือน ดูแล้วสุดท้ายก็ไม่แคล้วถูกยึดและต้องมาถูกฟ้องเรียกค่าเสียหายอีก เช่นนี้ สู้เอารถไปคืนเสียก่อนผิดนัดจะเป็นทางเลือกที่ดีเสียกว่า ถึงแม้ต้องสูญรถคันนี้ไป แต่เดี๋ยวพอมีกำลังก็หาใหม่ได้ไม่ยาก

#ซึ่งถ้าก่อนจะมีการผิดนัดผู้เช่าซื้อเป็นฝ่ายเริ่มที่จะเลิกสัญญาด้วยการส่งมอบรถยนต์คันที่เช่าซื้อคืนในสภาพสมบูรณ์และผู้ให้เช่าซื้อยอมรับคืนไปโดยไม่อิดเอื้อน(สงวนสิทธิ์) ผลก็เท่ากับสัญญาเช่าซื้อเลิกกันไปโดยผู้ให้เช่าซื้อไม่เสียหาย ดังนี้ หากผู้ให้เช่าซื้อจะนำรถคันดังกล่าวออกขายได้ราคาต่ำกว่าทุนก็ไม่มีสิทธิ์เรียกค่าเสียหายในส่วนนี้จากผู้เช่าซื้อได้ อีก ซึ่งต่างจากกรณีที่ผู้เช่าซื้อเป็นฝ่ายผิดนัดแล้วถูกติดตามยึดรถคืน ถึงแม้จะมีผลทำให้สัญญาเช่าซื้อเลิกกันไปโดยผลของกฎหมายเช่นเดียวกันก็ตาม แต่การเลิกสัญญานี้เกิดเพราะความผิดของของผู้เช่าซื้อ ดังนั้น เมื่อผู้ให้เช่าซื้อนำรถออกขายทอดตลาดแล้วได้ราคาต่ำกว่าทุนจึงมีสิทธิ์เรียกค่าเสียหายในส่วนนี้จากผู้เช่าซื้อได้

...........................................................

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 14324/2558
                จำเลยเป็นฝ่ายเริ่มต้นติดต่อกับโจทก์เพื่อคืนรถยนต์ที่เช่าซื้อ แสดงให้เห็นจุดประสงค์ของจำเลยที่ต้องการบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อเท่านั้น เมื่อโจทก์ได้รับการติดต่อก็ตกลงและนัดหมายรับรถยนต์ที่เช่าซื้อไปคืนโดยมอบหมายให้ ส. ตัวแทนโจทก์ การที่จำเลยส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อให้แก่ ส. จึงเป็นการบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อด้วยการส่งมอบทรัพย์คืนแก่โจทก์ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 573 สัญญาเช่าซื้อเป็นอันเลิกกันนับแต่วันดังกล่าวแล้ว แม้ต่อมาจำเลยจะตกลงขายสิทธิการเช่าซื้อให้ ส. ก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากสัญญาเช่าซื้อเลิกกันแล้ว เมื่อจำเลยมิได้ผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อและไม่ปรากฏว่าขณะเลิกสัญญาจำเลยมีหน้าที่ต้องรับผิดต่อโจทก์อย่างไร จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ตามฟ้อง

...........................................................

ป.พ.พ. มาตรา ๕๗๓ ผู้เช่าจะบอกเลิกสัญญาในเวลาใดเวลาหนึ่งก็ได้ด้วยส่งมอบทรัพย์สินกลับคืนให้แก่เจ้าของโดยเสียค่าใช้จ่ายของตนเอง

...........................................................

หวังว่าจะเป็นประโยชน์แก่ท่านผู้อ่านไม่มากก็น้อย ซึ่งหากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามเข้ามาได้ และช่วยกันเผยแพร่ให้เป็นความรู้แก่บุคคลทั่วไปครับ

ที่ปรึกษากฎหมาย นิติลอว์
#ปรึกษากฎหมาย #เช่าซื้อ
เครดิตภาพประกอบ / Photo : https://unsplash.com/photos/uSdtHAt7E1Q

โพสต์นี้ ว่าด้วยเรื่อง เช็คค้ำประกัน และ แจ้งความเท็จ

               ในเบื้องต้นขอทำความเข้าใจกันก่อนว่า ในเช็คหนึ่งใบนั้น อาจมีการดำเนินคดีได้ถึงสองคดี คือ คดีแพ่ง และคดีอาญา เหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะ เช็ค คือ ตั๋วเงินประเภทหนึ่ง ซึ่งมีกฎหมายระบุหน้าที่และความรับผิดต่างๆในการใช้ตั๋วเงินดังกล่าวไว้แล้ว ซึ่งในส่วนนี้จะเป็นคดีแพ่ง กับอีกส่วนหนึ่งซึ่งเป็นที่นิยมใช้สิทธิ์กันหากเช็คดังกล่าวไม่สามารถเรียกเก็บเงินได้ตามกำหนด หรือที่นิยมเรียกว่า “เช็คเด้ง” โดยเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ.2534
ซึ่งมีโทษทางอาญา
                แต่ก่อนที่ท่านจะใช้สิทธิในทางใด จะต้องดูเสียก่อนว่า เช็คใบนั้น ผู้สั่งจ่าย หรือผู้ลงนามในเช็คจะต้องรับผิดในทางใดได้บ้าง ก็จะได้เลือกดำเนินคดีได้อย่างถูกต้อง ซึ่งหากไม่มีความผิดในทางอาญา ก็อย่าไปใช้สิทธิแจ้งความดำเนินคดีอาญากับผู้สั่งจ่ายมิเช่นนั้นผู้ทรงก็อาจจะมีความผิดในทางอาญาเสียเองซึ่งไม่คุ้มกันเลย



       คดีที่ผมนำมาเล่าสู่กันฟังในวันนี้นั้น เป็นเรื่องการออกเช็คเป็นประกันการทำงาน และมีเงื่อนไขบังคับก่อนว่าต้องมีการหักทอนบัญชีกันให้แล้วเสร็จจึงจะนำเช็คดังกล่าวไปขึ้นเงินได้ ดังนั้น เมื่อการหักทอนบัญชียังไม่เกิดขึ้น ผู้ทรงเช็คก็ยังไม่มีสิทธิ์ในการนำเช็คไปเรียกเก็บเงิน สถานะของเช็คดังกล่าวก็ยังคงเป็นการค้ำประกันงานกันอยู่ ( #เมื่อยังไม่เกิดสิทธิโดยชอบหากนำเช็คไปเรียกเก็บผู้สั่งจ่ายจะไม่มีความผิดในทางอาญา 
ดังนี้ เมื่อผู้ทรงเช็คนำเช็คดังกล่าวไปเรียกเก็บเงินก่อนมีสิทธิ์ทำได้ตามกฎหมายแล้วธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน จากนั้นจึงได้นำเรื่องไปแจ้งความเดินเนินคดีว่า #ผู้สั่งจ่ายกู้ยืมเงินไปแล้วออกเช็คไว้ให้ไม่มีเงินพอจ่าย อันเป็นลักษณะความผิดพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2497 ม.3 ( ปัจจุบันมีการชำระแก้ไขใหม่เป็น ปี 2534) ซึ่งไม่ตรงกับความเป็นจริง ดังนั้น ผู้แจ้งความคดีเช็คจึงมีความผิดฐานแจ้งความเท็จ
(((ความเห็นเพิ่มเติม))) ในประเด็นนี้ พอเทียบเคียงกับข้อเท็จจริงกรณี การนำเช็คค้ำประกันแบบไม่มีเงื่อนไขบังคับก่อนซึ่งไม่มีทางเป็นความผิดตามกฎหมายในทางอาญาได้เลยไปแจ้งความดำเนินคดี ก็จะมีความผิดฐานแจ้งความเท็จได้เช่นดังคำพิพากษาฎีกาฉบับนี้เช่นกัน และที่สำคัญเพียงการแจ้งความก็เป็นความผิดสำเร็จแล้ว โดยไม่ต้องคำนึงว่าพนักงานสอบสวนตลอดจนพนักงานอัยการจะพิจารณาสั่งฟ้องดำเนินคดีหรือไม่

...................................................

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 586 - 600/2504

                จำเลยจ้างโจทก์ทำการก่อสร้างอาคารและจ่ายเงินให้โจทก์นำไปใช้ในการก่อสร้างโดยให้โจทก์ออกเช็คไว้ให้เป็นประกันการก่อสร้างโดยเป็นที่เข้าใจกันว่าจะบังคับใช้ให้มีการจ่ายเงินตามเช็คได้ต่อเมื่อได้คิดบัญชีหักทอนกันก่อน แต่ต่อมาโจทก์จำเลยผิดใจกัน จำเลยนำเช็คเข้าบัญชีธนาคาร ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน จำเลยก็ไปแจ้งความตำรวจหาว่าโจทก์ทำผิดอาญา โดยกู้ยืมเงินไปแล้วออกเช็คไว้ให้ไม่มีเงินพอจ่าย ทั้งนี้โดยไม่ได้คิดบัญชีกันเลยดังนี้ จำเลยมีความผิดฐานแจ้งความเท็จ ส่วนโจทก์ไม่มีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ.2497(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 14/2504)

               คดีทั้ง 15 สำนวนนี้ ศาลอาญารวมพิจารณาพิพากษาโดยเดิมนายเกษมเป็นโจทก์ฟ้องนายทองดีเป็นจำเลยหาว่านายทองดีนำความที่รู้ว่าเป็นเท็จไปแจ้งต่อเจ้าพนักงานตำรวจว่า นายเกษมยืมเงินนายทองดีไปหลายครั้งโดยออกเช็คไว้ให้เป็นการชำระหนี้เงินยืมรวม 7 ฉบับธนาคารคืนเช็คเพราะนายเกษมไม่มีเงินในธนาคาร ซึ่งความจริงเช็ค 7 ฉบับนี้เกิดจากนายทองดีจ้างเหมานายเกษมทำการก่อสร้างที่พักตากอากาศของนายทองดี ๆ จ่ายเงินค่าก่อสร้างให้โดยให้นายเกษมออกเช็คไว้เป็นประกันการก่อสร้าง ขอให้ลงโทษตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 118 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137, 172, 173, 175, 267

               ต่อมานายทองดี เป็นโจทก์ฟ้องนายเกษม 7 สำนวน หาว่าออกเช็คสำนวนละ 1 ฉบับโดยมีเงินไม่พอจ่าย ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3 และนับโทษต่อ

               ต่อมาพนักงานอัยการได้ฟ้องนายเกษมเป็นจำเลย 7 สำนวน มีข้อหาและคำขอลงโทษอย่างเดียวกับฟ้องของนายทองดีทั้ง 7 สำนวน

               ศาลแขวงพระนครใต้ไต่สวนมูลฟ้องคดีที่นายเกษมและนายทองดีต่างเป็นโจทก์แล้วสั่งรับฟ้องและให้นายทองดีนำคดีไปฟ้องศาลอาญาและเห็นว่ากรณี 2 เรื่องนี้ ควรรวมพิจารณาที่ศาลอาญาโดยคู่ความต่างยินยอม จึงส่งสำนวนที่นายเกษมเป็นโจทก์มาศาลอาญา ศาลอาญาสั่งให้โอนคดีมารวมพิจารณากันได้

               ศาลอาญาพิจารณาเสร็จแล้วฟังว่า นายทองดีจ้างเหมาบริษัทนวรัตน์จำกัด ซึ่งนายเกษมเป็นผู้จัดการทำการก่อสร้าง ไม่พอฟังว่านายทองดีจ้างนายเกษมเป็นส่วนตัว ฉะนั้น เช็คที่นายเกษมออกให้จึงไม่ใช่เช็คประกันการก่อสร้างนายเกษมจึงมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค รวม 7 กระทง ให้จำคุก 1 ปี (ลดแล้ว) และยกฟ้องของนายเกษม

               นายเกษมอุทธรณ์ทุกสำนวน

               อัยการอุทธรณ์ขอให้เรียงกระทง และลงโทษให้หนัก

               นายทองดีอุทธรณ์ว่าไม่ควรลดโทษให้ 1 ใน 3

               ศาลอุทธรณ์ฟังว่า เช็ค 7 ฉบับนี้ นายเกษมออกให้เพื่อประกันการทำงานก่อสร้างให้นายทองดีเป็นส่วนตัว นายทองดีหาได้จ้างบริษัทนวรัตน์จำกัดทำการก่อสร้างไม่ จึงลงโทษนายเกษมไม่ได้เพราะไม่มีเจตนาชำระหนี้ตามเช็คกันการแจ้งความของนายทองดีจึงเป็นความเท็จและมีความผิดตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 118 และมาตรา 158 ซึ่งเป็นบทหนัก แต่นายเกษมโจทก์มิได้ขอ อ้างมาตรา 158 คงอ้างแต่ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 173 ซึ่งมีโทษเบากว่าแม้จะอ้างบทผิด ศาลมีอำนาจลงโทษตามบทที่ถูกต้องได้ แต่ต้องไม่เกินคำขอพิพากษากลับให้จำคุกนายทองดี 1 ปีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 173ซึ่งเป็นบทหนัก ให้ยกฟ้องนายทองดีและอัยการ

               นายทองดีและอัยการฎีกา

               ศาลฎีกาคงฟังว่านายเกษมออกเช็คให้เพื่อประกันงานก่อสร้างให้นายทองดี โดยคู่กรณีเข้าใจกันดีว่าจะบังคับการจ่ายเงินตามเช็คได้ต่อเมื่อมีการคิดบัญชีกันแล้วระหว่างจำนวนเงินในเช็คกับค่าของงานที่ทำเสร็จ ฉะนั้น การที่นายทองดีไปจัดการบังคับให้มีการจ่ายเงินตามเช็คโดยไม่คิดบัญชีหักทอนกันก่อน จึงเป็นการว่ากล่าวเอากับเช็คโดยยังไม่มีอำนาจทำได้ การกระทำของนายเกษมจึงไม่มีความผิดตามฟ้องของนายทองดีและอัยการ

               ส่วนฟ้องของนายเกษมนั้น เมื่อฟังข้อเท็จจริงดังกล่าวแล้วโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่า นายทองดีมีความผิดฐานแจ้งความเท็จตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 118 ส่วนประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 173 มิได้เป็นคุณแก่จำเลย จะลงโทษจำเลยตามมาตรา 173 ไม่ได้
จึงพิพากษาแก้ ให้ลงโทษนายทองดีจำเลยตามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา 118 นอกนั้นยืน

...................................................

หมายเหตุ
                พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2497 ปัจจุบันได้ชำระและแก้ไขใหม่โดยออกเป็นพระราชบัญญัติ ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 ขึ้นแทนแล้ว แต่หลักกฎหมายที่ใช้ประกอบการพิจารณาประเด็นแจ้งความเท็จนั้นยังคงหลักการเดิม

..................................................

หวังว่าจะเป็นประโยชน์แก่ท่านผู้อ่านไม่มากก็น้อย ซึ่งหากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามเข้ามาได้ และช่วยกันเผยแพร่ให้เป็นความรู้แก่บุคคลทั่วไปครับ

ที่ปรึกษากฎหมาย นิติลอว์
#ปรึกษากฎหมาย #เช็ค #แจ้งความเท็จ
 เครดิตภาพประกอบ / Photo : https://unsplash.com/photos/yC-Yzbqy7PY

วันเสาร์ที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2560

สัญญารับจ้างก่อสร้างอาคารเพื่อการอยู่อาศัยเป็นสัญญาควบคุม มีผลบังคับใช้แล้ว


สัญญารับจ้างก่อสร้างอาคารเพื่อการอยู่อาศัย เป็นสัญญาควบคุม มีผลแต่วันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๐ เป็นต้นไป


               เป็นที่น่ายินดีต่อผู้บริโภคที่ต่อไปนี้สัญญาก่อสร้างอาคารเพื่อการอยู่อาศัยนั้นตกเป็นสัญญาควบคุม โดยคณะกรรมการว่าด้วยสัญญาได้ออกประกาศ เรื่อง ให้ธุรกิจการรับจ้างก่อสร้างอาคารเพื่อการอยู่อาศัยเป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญา พ.ศ. ๒๕๕๙ ซึ่งมีผลใช้บังคับแล้ว เพื่อเป็นการกำหนดแนวทางที่ชัดเจนในเรื่องการกำหนดข้อสัญญารับจ้างก่อสร้างอาคารเพื่อการอยู่อาศัย ซึ่งบ่อยครั้งพบว่าผู้บริโภคยังถูกเอาเปรียบจากข้อสัญญาอยู่ โดยต่อไปนี้สัญญาที่จะกำหนดกันขึ้นใหม่นั้น ต้องเป็นไปตามแบบที่ควบคุมตามประกาศ

             
               ดังนี้ เมื่อคณะกรรมการว่าด้วยสัญญาได้กำหนดให้สัญญารับจ้างก่อสร้างอาคารเพื่อการอยู่อาศัย  ต้องใช้ข้อสัญญาใดหรือต้องใช้ข้อสัญญาใดโดยมีเงื่อนไขในการใช้ข้อสัญญานั้นด้วยแล้ว ถ้าสัญญานั้นไม่ใช้ข้อสัญญาดังกล่าวหรือใช้ข้อสัญญาดังกล่าวแต่ไม่เป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนด กฎหมายก็ให้บังคับตามที่ประกาศกำหนดไว้แทน แล้วแต่กรณี หรือ เมื่อคณะกรรมการว่าด้วยสัญญากำหนดให้สัญญารับจ้างก่อสร้างอาคารเพื่อการอยู่อาศัย ต้องไม่ใช้ข้อสัญญาใดแล้ว ถ้าสัญญาฉบับนั้นใช้ข้อสัญญาที่ห้ามไว้ กฎหมายก็ให้ถือว่าสัญญาฉบับนั้นไม่มีข้อสัญญาที่ต้องห้ามเช่นว่านั้นโดยปริยาย ทั้งนี้ เป็นไปตาม พระราชบัญญัติ คุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๓๕ ตรี , มาตรา ๓๕ จัตวา

 
#รายละเอียดข้อสัญญาที่ควบคุมและข้อห้ามต่างๆจะเป็นเช่นไร ศึกษาได้ตามไฟล์แนบ

หวังว่าจะเป็นประโยชน์แก่ท่านผู้อ่านไม่มากก็น้อย ซึ่งหากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามเข้ามาได้ และช่วยกันเผยแพร่ให้เป็นความรู้แก่บุคคลทั่วไปครับ

ที่ปรึกษากฎหมาย นิติลอว์

#ปรึกษากฎหมาย #สัญญาจ้างก่อสร้างที่อยู่อาศัย





วันพฤหัสบดีที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2560

สัญญาหลักประกันทางธุรกิจ

                จากในครั้งก่อนผมได้นำ พระราชบัญญัติ หลักประกันทางธุรกิจ พ.ศ. ๒๕๕๘ มาโพสต์ไว้ในเพจนี้เพื่อให้ได้ทำความรู้จักและศึกษากัน  ซึ่งกฎหมายเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องใหม่ของบ้านเมืองเรา ถึงแม้จะไม่ได้ใหม่ถอดด้ามในต่างประเทศ  แต่ก็เป็นเรื่องยากที่เราจะหยิบยกเอาแนวทางปฏิบัติของในต่างประเทศมายึดถือเป็นแนวทางปฏิบัติของบ้านเราไปเลยนั้นคงไม่เหมาะเสียทีเดียว  ดังนี้ ในการบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยหลักประกันทางธุรกิจในบ้านเราต่อไปนั้น บุคคลากรทั้งในภาครัฐและภาคเอกชนจึงต้องช่วยกันศึกษาและออกแนวทางปฏิบัติให้ถูกต้องเหมาะสมสอดคล้องกับสังคมไทยและไม่ด้อยกว่าหลักที่ปฏิบัติกันอยู่ในต่างประเทศด้วย  ทั้งนี้ เพื่อความน่าเชื่อถือและเป็นธรรมต่อทุกภาคส่วนต่อไปนั้นเองครับ  

(picture from unsplash.com) 
  
               ในเบื้องต้นนี้ เรามาทำความรู้จักกับสัญญาหลักประกันทางธุรกิจเสียก่อน ว่าแท้จริงแล้วมีสาระสำคัญอย่างไร 

"สัญญาหลักประกันทางธุรกิจ" 

               ตามความใน มาตรา ๕ ของกฎหมายดังกล่าวบัญญัติว่า   
               สัญญาหลักประกันทางธุรกิจ คือ สัญญาซึ่งคู่สัญญาฝ่ายหนึ่ง เรียกว่า ผู้ให้หลักประกัน ตราทรัพย์สินไว้แก่คู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่ง เรียกว่า ผู้รับหลักประกัน เพื่อเป็นประกันการชำระหนี้ โดยไม่จำเป็นต้องส่งมอบทรัพย์สินนั้นแก่ผู้รับหลักประกัน

               ผู้ให้หลักประกันอาจตราทรัพย์สินของตนไว้เพื่อประกันการชำระหนี้อันบุคคลอื่นต้องชำระก็ได้  
.....................................................

               จากหลักกฎหมายดังกล่าวจะเห็นได้ว่า แท้จริงแล้วสัญญาหลักประกันทางธุรกิจนั้นก็คือสัญญาคำประกันการชำระหนี้นั่นเอง  เพียงแต่ เป็นการ "ตราทรัพย์" ไว้ โดยไม่ต้องส่งมอบตัวทรัพย์สินให้แก่คู่สัญญา  พูดให้เห็นภาพง่ายๆ ก็เหมือนกับการจำนองที่ดิน ซึ่งเพียงแค่จดทะเบียนจำนองกันที่สำนักงานที่ดินเท่านั้นแต่ลูกหนี้หรือผู้ค้ำประกันซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินที่จำนองนั้นไม่ต้องส่งมอบการครอบครองทรัพย์ให้แก่เจ้าหนี้แต่อย่างใด  ซึ่งกรณีของการทำสัญญาหลักประกันนี้ ก็ยังแตกต่างจากการจำนำอีกด้วย เนื่องการจำนำนั้นกฎหมายไม่ได้บังคับให้ต้องตราทรัพย์สินไว้แต่ต้องส่งมอบทรัพย์ที่จำนำให้แก่ผู้รับจำนำยึดถือไว้ ผู้จำนำไม่สามารถนำเอาทรัพย์ที่จำนำกลับมาใช้สอยได้จนกว่าจะมีการไถ่ถอนจำนำเสร็จสิ้น  และที่น่าสนใจก็คือทรัพย์สินที่จะนำมาเป็นหลักประกันตากฎหมายใหม่ฉบับนี้ นั้นไม่ได้จำกัดอยู่แต่เพียงทรัพย์ที่มีตราสารหรือมีเอกสารสิทธิเท่านั้น  หากแต่เป็นสังหาริมทรัพย์ หรือสิทธิต่างๆก็สามารถนำมาเป็นหลักประกันได้ด้วย 

ประโยชน์ของสัญญาหลักประกันทางธุรกิจ

               เนื่องจากทรัพย์สินที่จะนำมาเป็นหลักประกันได้นั้นมีกำหนดไว้ใน มาตรา ๘ บัญญัติว่า

               หลักประกันได้แก่ทรัพย์สิน ดังต่อไปนี้

(๑) กิจการ

(๒) สิทธิเรียกร้อง

(๓) สังหาริมทรัพย์ที่ผู้ให้หลักประกันใช้ในการประกอบธุรกิจ เช่น เครื่องจักร สินค้าคงคลัง หรือวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตสินค้า

(๔) อสังหาริมทรัพย์ในกรณีที่ผู้ให้หลักประกันประกอบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์โดยตรง

(๕) ทรัพย์สินทางปัญญา

(๖) ทรัพย์สินอื่นตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
.................................................................

               จึงเห็นได้ว่า ทรัพย์สินที่จะนำมาเป็นหลักประกันทางธุรกิจได้นั้นไม่จำกัดอยู่เพียงที่ดินอันเป็นอสังหาริมทรัพย์แต่เพียงอย่างเดียวอีกต่อไป  หากแต่ตามกฎหมายได้เปิดกว้างรับรองการที่ผู้ให้หลักประกันสามารถนำทรัพย์สินต่างๆของกิจการตน หรืออันเกี่ยวเนื่องมาจากการประกอบกิจการของตนไม่ว่าจะเป็น  สิทธิเรียกร้องต่างๆ  เช่น  สัญญาเช่า ใบเรียกเก็บเงิน ฯ     หรือจะเป็นสังหาริมทรัพย์ที่ใช้ในการประกอบกิจการ   เช่น  วัตถุดิบ  เครื่องจักรในการผลิต      รวมไปถึงอสังหาริมทรัพย์จากกิจการที่ประกอบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์โดยตรง  ตลอดจนทรัพย์สินทางปัญญาที่ผู้ประกอบกิจการเป็นเจ้าของอยู่  เช่น  บทประพันธ์  แบบผลิตภันฑ์ในการผลิตต่างๆ ฯ  หรือแม้แต่ตัวกิจการ  พูดง่ายๆ ยกกิจการทั้งหมดมาเป็นหลักประกันก็ได้      และในทางปฏิบัติจริงๆแล้วทรัพย์สินเหล่านี้ ผู้ประกอบกิจการต่างๆมีความคิดจะขอนำมาเป็นหลักประกันเพื่อขอสินเชื่อกับทางสถาบันการเงินอยู่เช่นกัน แต่ติดอยู่ที่ทางสถาบันการเงินยังเห็นว่าการจะบังคับชำระหนี้กับทรัพย์สินเหล่านี้นั้นยังไม่มีกฎหมายรองรับ  จึงยังไม่ยอมรับหลักประกันดังกล่าวในการขอสินเชื้อ ซึ่งต่อไปนี้มีกฎหมายขึ้นมารองรับแล้วการเข้าถึงทุนของผู้ประกอบการก็จะเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น 

               ที่กล่าวมานี้เป็นเพียงรูปแบบหนึ่งของสัญญาหลักประกันทางธุรกิจที่จะต้องนำมาจดทะเบียนตามกฎหมายเท่านั้น ซึ่งผมขอยกเป็นเพียงตัวอย่างเบื้องต้นพอเข้าใจไว้เท่านี้ก่อนครับ  และในครั้งต่อๆไปผมจะได้มาพูดคุยถึงกฎหมายฉบับนี้ในส่วนอื่นๆอีก เพื่อให้ทุกท่านได้มีความรู้และเข้าใจถึงการปฏิบัติตามกฎหมายฉบับนี้ได้อย่างเข้าใจและถูกต้องครับ

ศึกษากฎหมายฉบับนี้เพิ่มเติมได้ตามลิ้งค์นี้ครับ
https://www.facebook.com/nitilaw.legaladvisors/posts/1247100635322149


หวังว่าจะเป็นประโยชน์แก่ท่านผู้อ่านไม่มากก็น้อย ซึ่งหากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามเข้ามาได้ และช่วยกันเผยแพร่ให้เป็นความรู้แก่บุคคลทั่วไปครับ

ที่ปรึกษากฎหมาย นิติลอว์

#ปรึกษากฎหมาย #สัญญาหลักประกันทางธุรกิจ

ขอบคุณภาพประกอบ  : Thank you ,  picture from unsplash.com