ในเบื้องต้นขอทำความเข้าใจกันก่อนว่า ในเช็คหนึ่งใบนั้น
อาจมีการดำเนินคดีได้ถึงสองคดี คือ คดีแพ่ง และคดีอาญา
เหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะ เช็ค คือ ตั๋วเงินประเภทหนึ่ง
ซึ่งมีกฎหมายระบุหน้าที่และความรับผิดต่างๆในการใช้ตั๋วเงินดังกล่าวไว้แล้ว
ซึ่งในส่วนนี้จะเป็นคดีแพ่ง
กับอีกส่วนหนึ่งซึ่งเป็นที่นิยมใช้สิทธิ์กันหากเช็คดังกล่าวไม่สามารถเรียกเก็บเงินได้ตามกำหนด
หรือที่นิยมเรียกว่า “เช็คเด้ง”
โดยเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ.2534
ซึ่งมีโทษทางอาญา
ซึ่งมีโทษทางอาญา
แต่ก่อนที่ท่านจะใช้สิทธิในทางใด จะต้องดูเสียก่อนว่า เช็คใบนั้น
ผู้สั่งจ่าย หรือผู้ลงนามในเช็คจะต้องรับผิดในทางใดได้บ้าง
ก็จะได้เลือกดำเนินคดีได้อย่างถูกต้อง ซึ่งหากไม่มีความผิดในทางอาญา
ก็อย่าไปใช้สิทธิแจ้งความดำเนินคดีอาญากับผู้สั่งจ่ายมิเช่นนั้นผู้ทรงก็อาจจะมีความผิดในทางอาญาเสียเองซึ่งไม่คุ้มกันเลย
คดีที่ผมนำมาเล่าสู่กันฟังในวันนี้นั้น
เป็นเรื่องการออกเช็คเป็นประกันการทำงาน
และมีเงื่อนไขบังคับก่อนว่าต้องมีการหักทอนบัญชีกันให้แล้วเสร็จจึงจะนำเช็คดังกล่าวไปขึ้นเงินได้
ดังนั้น เมื่อการหักทอนบัญชียังไม่เกิดขึ้น
ผู้ทรงเช็คก็ยังไม่มีสิทธิ์ในการนำเช็คไปเรียกเก็บเงิน
สถานะของเช็คดังกล่าวก็ยังคงเป็นการค้ำประกันงานกันอยู่ ( #เมื่อยังไม่เกิดสิทธิโดยชอบหากนำเช็คไปเรียกเก็บผู้สั่งจ่ายจะไม่มีความผิดในทางอาญา
ดังนี้ เมื่อผู้ทรงเช็คนำเช็คดังกล่าวไปเรียกเก็บเงินก่อนมีสิทธิ์ทำได้ตามกฎหมายแล้วธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน
จากนั้นจึงได้นำเรื่องไปแจ้งความเดินเนินคดีว่า #ผู้สั่งจ่ายกู้ยืมเงินไปแล้วออกเช็คไว้ให้ไม่มีเงินพอจ่าย
อันเป็นลักษณะความผิดพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค
พ.ศ.2497 ม.3 ( ปัจจุบันมีการชำระแก้ไขใหม่เป็น ปี 2534)
ซึ่งไม่ตรงกับความเป็นจริง ดังนั้น
ผู้แจ้งความคดีเช็คจึงมีความผิดฐานแจ้งความเท็จ
(((ความเห็นเพิ่มเติม))) ในประเด็นนี้ พอเทียบเคียงกับข้อเท็จจริงกรณี
การนำเช็คค้ำประกันแบบไม่มีเงื่อนไขบังคับก่อนซึ่งไม่มีทางเป็นความผิดตามกฎหมายในทางอาญาได้เลยไปแจ้งความดำเนินคดี
ก็จะมีความผิดฐานแจ้งความเท็จได้เช่นดังคำพิพากษาฎีกาฉบับนี้เช่นกัน
และที่สำคัญเพียงการแจ้งความก็เป็นความผิดสำเร็จแล้ว
โดยไม่ต้องคำนึงว่าพนักงานสอบสวนตลอดจนพนักงานอัยการจะพิจารณาสั่งฟ้องดำเนินคดีหรือไม่
...................................................
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 586 - 600/2504
จำเลยจ้างโจทก์ทำการก่อสร้างอาคารและจ่ายเงินให้โจทก์นำไปใช้ในการก่อสร้างโดยให้โจทก์ออกเช็คไว้ให้เป็นประกันการก่อสร้างโดยเป็นที่เข้าใจกันว่าจะบังคับใช้ให้มีการจ่ายเงินตามเช็คได้ต่อเมื่อได้คิดบัญชีหักทอนกันก่อน
แต่ต่อมาโจทก์จำเลยผิดใจกัน จำเลยนำเช็คเข้าบัญชีธนาคาร
ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน จำเลยก็ไปแจ้งความตำรวจหาว่าโจทก์ทำผิดอาญา
โดยกู้ยืมเงินไปแล้วออกเช็คไว้ให้ไม่มีเงินพอจ่าย
ทั้งนี้โดยไม่ได้คิดบัญชีกันเลยดังนี้ จำเลยมีความผิดฐานแจ้งความเท็จ
ส่วนโจทก์ไม่มีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ.2497(ประชุมใหญ่
ครั้งที่ 14/2504)
คดีทั้ง 15 สำนวนนี้
ศาลอาญารวมพิจารณาพิพากษาโดยเดิมนายเกษมเป็นโจทก์ฟ้องนายทองดีเป็นจำเลยหาว่านายทองดีนำความที่รู้ว่าเป็นเท็จไปแจ้งต่อเจ้าพนักงานตำรวจว่า
นายเกษมยืมเงินนายทองดีไปหลายครั้งโดยออกเช็คไว้ให้เป็นการชำระหนี้เงินยืมรวม
7 ฉบับธนาคารคืนเช็คเพราะนายเกษมไม่มีเงินในธนาคาร ซึ่งความจริงเช็ค 7
ฉบับนี้เกิดจากนายทองดีจ้างเหมานายเกษมทำการก่อสร้างที่พักตากอากาศของนายทองดี
ๆ จ่ายเงินค่าก่อสร้างให้โดยให้นายเกษมออกเช็คไว้เป็นประกันการก่อสร้าง
ขอให้ลงโทษตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 118 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137, 172,
173, 175, 267
ต่อมานายทองดี เป็นโจทก์ฟ้องนายเกษม 7 สำนวน
หาว่าออกเช็คสำนวนละ 1 ฉบับโดยมีเงินไม่พอจ่าย
ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497
มาตรา 3 และนับโทษต่อ
ต่อมาพนักงานอัยการได้ฟ้องนายเกษมเป็นจำเลย 7 สำนวน มีข้อหาและคำขอลงโทษอย่างเดียวกับฟ้องของนายทองดีทั้ง 7 สำนวน
ศาลแขวงพระนครใต้ไต่สวนมูลฟ้องคดีที่นายเกษมและนายทองดีต่างเป็นโจทก์แล้วสั่งรับฟ้องและให้นายทองดีนำคดีไปฟ้องศาลอาญาและเห็นว่ากรณี
2 เรื่องนี้ ควรรวมพิจารณาที่ศาลอาญาโดยคู่ความต่างยินยอม
จึงส่งสำนวนที่นายเกษมเป็นโจทก์มาศาลอาญา
ศาลอาญาสั่งให้โอนคดีมารวมพิจารณากันได้
ศาลอาญาพิจารณาเสร็จแล้วฟังว่า นายทองดีจ้างเหมาบริษัทนวรัตน์จำกัด
ซึ่งนายเกษมเป็นผู้จัดการทำการก่อสร้าง
ไม่พอฟังว่านายทองดีจ้างนายเกษมเป็นส่วนตัว ฉะนั้น
เช็คที่นายเกษมออกให้จึงไม่ใช่เช็คประกันการก่อสร้างนายเกษมจึงมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค
รวม 7 กระทง ให้จำคุก 1 ปี (ลดแล้ว) และยกฟ้องของนายเกษม
นายเกษมอุทธรณ์ทุกสำนวน
อัยการอุทธรณ์ขอให้เรียงกระทง และลงโทษให้หนัก
นายทองดีอุทธรณ์ว่าไม่ควรลดโทษให้ 1 ใน 3
ศาลอุทธรณ์ฟังว่า เช็ค 7 ฉบับนี้
นายเกษมออกให้เพื่อประกันการทำงานก่อสร้างให้นายทองดีเป็นส่วนตัว
นายทองดีหาได้จ้างบริษัทนวรัตน์จำกัดทำการก่อสร้างไม่
จึงลงโทษนายเกษมไม่ได้เพราะไม่มีเจตนาชำระหนี้ตามเช็คกันการแจ้งความของนายทองดีจึงเป็นความเท็จและมีความผิดตามกฎหมายลักษณะอาญา
มาตรา 118 และมาตรา 158 ซึ่งเป็นบทหนัก แต่นายเกษมโจทก์มิได้ขอ อ้างมาตรา
158 คงอ้างแต่ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 173 ซึ่งมีโทษเบากว่าแม้จะอ้างบทผิด
ศาลมีอำนาจลงโทษตามบทที่ถูกต้องได้
แต่ต้องไม่เกินคำขอพิพากษากลับให้จำคุกนายทองดี 1 ปีตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 173ซึ่งเป็นบทหนัก ให้ยกฟ้องนายทองดีและอัยการ
นายทองดีและอัยการฎีกา
ศาลฎีกาคงฟังว่านายเกษมออกเช็คให้เพื่อประกันงานก่อสร้างให้นายทองดี
โดยคู่กรณีเข้าใจกันดีว่าจะบังคับการจ่ายเงินตามเช็คได้ต่อเมื่อมีการคิดบัญชีกันแล้วระหว่างจำนวนเงินในเช็คกับค่าของงานที่ทำเสร็จ
ฉะนั้น
การที่นายทองดีไปจัดการบังคับให้มีการจ่ายเงินตามเช็คโดยไม่คิดบัญชีหักทอนกันก่อน
จึงเป็นการว่ากล่าวเอากับเช็คโดยยังไม่มีอำนาจทำได้
การกระทำของนายเกษมจึงไม่มีความผิดตามฟ้องของนายทองดีและอัยการ
ส่วนฟ้องของนายเกษมนั้น
เมื่อฟังข้อเท็จจริงดังกล่าวแล้วโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่า
นายทองดีมีความผิดฐานแจ้งความเท็จตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 118
ส่วนประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 173 มิได้เป็นคุณแก่จำเลย จะลงโทษจำเลยตามมาตรา
173 ไม่ได้
จึงพิพากษาแก้ ให้ลงโทษนายทองดีจำเลยตามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา 118 นอกนั้นยืน
...................................................
หมายเหตุ
พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2497
ปัจจุบันได้ชำระและแก้ไขใหม่โดยออกเป็นพระราชบัญญัติ
ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 ขึ้นแทนแล้ว
แต่หลักกฎหมายที่ใช้ประกอบการพิจารณาประเด็นแจ้งความเท็จนั้นยังคงหลักการเดิม
..................................................
หวังว่าจะเป็นประโยชน์แก่ท่านผู้อ่านไม่มากก็น้อย
ซึ่งหากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามเข้ามาได้
และช่วยกันเผยแพร่ให้เป็นความรู้แก่บุคคลทั่วไปครับ
เครดิตภาพประกอบ / Photo : https://unsplash.com/photos/yC-Yzbqy7PY
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น