เมื่อลูกหนี้แพ้คดีและคดีได้ถึงที่สุดแล้ว ลูกหนี้นั้นจึงตกอยู่ในฐานะลูกหนี้ตามคำพิพากษา เจ้าหนี้ก็เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาสามารถใช้สิทธิ์บังคับคดีเอากับลูกหนี้นั้นได้ภายใน 10 ปี ซึ่งเป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปแล้วนั้น
แต่เมื่อตกเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาแล้ว และเจ้าหนี้ได้ตรวจสอบพบว่าลูกหนี้มีทรัพย์สินที่บังคับคดีได้ และได้ตั้งเรื่องกับเจ้าพนักงานบังคับคดีเพื่อยึดเอาทรัพย์สินนั้นออกขายทอดตลาดเพื่อการชำระหนี้ ในชั้นนี้ลูกหนี้คงกลืนไม่เข้าคายไม่ออก บางคนถูกยึดบ้าน บางคนถูกอายัดเงินเดือน เกิดความเดือนร้อนดั่งไฟลน
ซึ่งก่อนที่เจ้าพนักงานบังคับคดีจะขายทอดตลาดทรัพย์สินของลูกหนี้ไปนั้น ก็ยังพอที่จะเจรจากับเจ้าหนี้ได้อยู่ ซึ่งหลายครั้งยังสามารถลดยอดเงินที่ต้องชำระลงได้อีก ซึ่งหากลูกหนี้ได้ชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ไปตามที่เจรจาแล้ว ต้องเรียกให้เจ้าหนี้ออกใบเสร็จรับเงิน หรือ หนังสือปลอดภาระหนี้ให้ด้วยเพื่อเป็นหลักฐานพร้อมกับเร่งให้เจ้าหนี้ไปยื่นถอนการบังคับคดีให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว
แต่หากเจรจากับเจ้าหนี้ไม่เป็นผล ลูกหนี้ก็สามารถไปยื่นคำร้องต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีเพื่อขอทราบยอดหนี้ตามคำพิพากษาและค่าธรรมเนียมในชั้นบังคับคดีได้ เพื่อดูว่ามียอดเงินที่ต้องชำระให้แก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาเท่าใด ซึ่งลูกหนี้จะเห็นได้ว่ายอดเงินที่ใดต่ำกว่ากัน ก็เลือกที่จะชำระที่นั้นได้ ซึ่งหากเลือกชำระที่เจ้าพนักงานบังคับคดีจนครบถ้วนแล้ว ซึ่งรวมไปถึงชำระค่าธรรมเนียมในการถอนการยึดทรัพย์ด้วยแล้ว เจ้าพนักงานบังคับคดีก็จะมีหนังสือถอนการยึดไปยังเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องต่อไป
นี่เป็นเพียงหนึ่งในขั้นตอนที่ลูกหนี้สามารถหาทางออกได้เมื่อถูกบังคับคดีครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น