ปัจจุบันคดีรถยนต์ชนกันนั้นมีอัตราเพิ่มสูงขึ้นโดยเกิดจากหลายสาเหตุหลายปัจจัย ซึ่งความรับผิดนั้นมีกฎหมายที่เกี่ยวข้องหลายฉบับทั้งทางแพ่งและทางอาญา มาตราสำคัญมี ดังนี้
มาตรา ๒๙๑ ผู้ใดกระทำโดยประมาท
และการกระทำนั้นเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี
และปรับไม่เกินสองหมื่นบาท
มาตรา ๗๘
ผู้ใดขับรถหรือขี่หรือควบคุมสัตว์ในทางซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายแก่
บุคคลหรือทรัพย์สินของผู้อื่นไม่ว่าจะเป็นความผิดของผู้ขับขี่หรือผู้ขี่
หรือควบคุมสัตว์หรือไม่ก็ตาม ต้องหยุดรถ หรือสัตว์ และให้ความช่วยเหลือตามสมควร และพร้อมทั้งแสดงตัวและแจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ใกล้เคียงทันที
กับต้องแจ้งชื่อตัว ชื่อสกุล
และที่อยู่ของตนและหมายเลขทะเบียนรถแก่ผู้ได้รับความเสียหายด้วย
ในกรณีที่ผู้ขับขี่หรือผู้ขี่หรือควบคุมสัตว์หลบหนีไปหรือไม่แสดงตัวต่อพนักงานเจ้าหน้าที่
ณ สถานที่เกิดเหตุ ให้สันนิษฐานว่าเป็นผู้กระทำความผิดและให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจยึดรถคันที่ผู้ขับขี่หลบหนีหรือไม่แสดงตนว่าเป็นผู้ขับขี่
จนกว่าคดีถึงที่สุดหรือได้ตัวผู้ขับขี่
ถ้าเจ้าของหรือผู้ครอบครองไม่แสดงตัวต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ภายในหกเดือนนับแต่วันเกิดเหตุ
ให้ถือว่ารถนั้นเป็นทรัพย์สินซึ่งได้ใช้ในการกระทำความผิดหรือเกี่ยวกับการกระทำความผิด
และให้ตกเป็นของรัฐ
มาตรา ๔๒๐ ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ
ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี
อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี
ท่านว่าผู้นั้นทำละเมิดจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น
ดังนี้ เมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้นแล้วผู้ขับขี่จะต้องเข้าช่วยเหลือและพยายามเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้นโดยทันที
และ แจ้งเจ้าหน้าที่ โดยไม่หลบหนีไปจากที่เกิดเหตุ
และเมื่อมีการตกลงเจรจาชดเชยความเสียหายให้แก่ผู้เสียหายจนเป็นที่พอใจ (หรือชดเชยตามสมควรแก่พฤติการณ์)แล้ว
ข้อเท็จจริงดังกล่าวก็จะเป็นเหตุบรรเทาโทษทางอาญาได้ ซึ่งตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๑ นั้นไม่ต้องพิจารณาว่าอีกฝ่ายมีส่วนประมาทด้วยหรือไม่
ก็ถือเป็นความผิดได้ ซึ่งหากเป็นกรณีหลบหนีไปจากที่เกิดเหตุ
ไม่แจ้งเหตุให้เจ้าหน้าที่ทราบเพื่อเข้าให้การช่วยเหลือทางการแพทย์ และการเฉี่ยวชนนั้นเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต เมื่อผู้ขับขี่ถูกฟ้องดำเนินคดีอาญาต่อศาลแล้วการวางเงินชดเชิญค่าเสียหายอาจไม่ช่วยให้ศาลพิพากษาให้รอการลงโทษจำคุกก็เป็นได้
ดังนี้
การขับขี่รถยนต์บนท้องถนนจึงต้องใช้ความระมัดระวังให้หนัก และเมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้นแล้วต้องมีน้ำใจต่อกันและทำตามหลักปฏิบัติให้ครบถ้วน
ข้อเท็จจริงนี้จะเป็นไม้เด็ดที่ทนายความใช้กันในการทำคดี
เพื่อขอรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลย ซึ่งในการทำงานที่ผ่านมาผมเห็นว่าได้ผลจริงๆครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น