แต่ก็พบว่าในการดำเนินคดีกับผู้หลอกลวง บางครั้งก็มีกรณี พนักงานสอบสวนมีความเห็นไม่สั่งฟ้องหรือพนักงานอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องคดี ตลอดจนแม้มีการฟ้องคดีแล้วแต่ศาลได้พิจารณาพิพากษาว่าไม่เป็นการฉ้อโกงเพราะ ข้อเท็จจริงในการนำสืบยังไม่ครบองค์ประกอบของความผิด ดังนี้ คนส่วนใหญ่จึงไม่อยากที่จะรักษาสิทธิของตนโดยคิดไปว่าเป็นการเสียเวลา ยังไงก็เอาผิดไม่ได้ ซึ่งน่าเห็นใจจริงๆครับ แต่ท่านก็อย่าเพิ่งหมดกำลังใจไป เหตุที่พนักงานสอบสวนมีความเห็นไม่สั่งฟ้องหรือพนักงานอัยการมีคำสั่งไม่ ฟ้องคดี ตลอดจนในกรณีที่ศาลมีคำพิพากษายกฟ้องก็เพราะมีความเห็นทางกฎหมายว่าสิ่งที่ ทำนั้นไม่ถึงกับเป็นความผิดฐานฉ้อโกง ทีนี้ ถ้าถูกหลอกแต่ไม่เป็นฉ้อโกงจะเอาผิดได้อีกหรือไม่มาดูกันครับ
ที่จริงการขายสินค้านั้น การโฆษณา หรือ การพรรณนาสรรพคุณ และการบอกถึงแหล่งที่มาของสินค้า เป็นเรื่องสำคัญที่ผู้ขายต้องระวังให้จงหนัก ไม่ใช่เพียงกล่าวให้สวยหรูเพื่อการขายเพียงอย่างเดียวเป็นพอใจ ในวันนี้ผมจึงขอยกข้อกฎหมายเรื่อง "หลอกขาย" สินค้า ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๑ มาเล่าสู่กันฟังครับ
การหลอกขาย ความหมายก็ตรงตัว คือตั้งใจหลอกผู้ซื้อ ในเรื่องที่มาของสินค้า สภาพ คุณภาพหรือปริมาณ เช่น ผู้ขายอ้างว่าสินค้านี้ เป็นของแท้จากญี่ปุ่น ทั้งๆที่จริงเป็นของแท้แต่ผลิตในประเทศไทย (เป็นของผลิตในไทยราคาถูกกว่า) หรือ รถมือสอง ผู้ขายบอกว่าเป็นรถบ้านสภาพดีใช้น้อยสวยทั้งคัน แต่ที่จริงมีการเปลี่ยนอะไหล่ (ยำอะไหล่) ไปแล้ว ผู้ซื้อนำมาใช้ได้ไม่นานก็ต้องมีการซ่อมใหญ่ เหล่านี้เป็นต้น ซึ่งการกระทำดังกล่าวเป็นการขายของโดย “หลอกลวง” ด้วยประการใด ๆ ให้ผู้ซื้อหลงเชื่อในแหล่งกำเนิด สภาพ คุณภาพหรือปริมาณแห่งของนั้นอัน “เป็นเท็จ” โดยการกระทำนั้นไม่ถึงกับเป็นความผิดฐานฉ้อโกง แต่ก็เป็นความผิดทางอาญา ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
เห็นหรือไม่ครับ แม้ไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกงแต่ก็ยังมีความผิดฐานหลอกขายอยู่ ซึ่งผู้ซื้อก็ควรรู้ผู้ขายก็ควรระวัง หากมีข้อสงสัยสอบถามเพิ่มเติมได้ครับ