วันพฤหัสบดีที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

หลอกขายของแต่ไม่ถึงกับเป็นความผิดฐานฉ้อโกง “รอดไปเลย” จริงหรือ ?

               พูดถึงการฉ้อโกงในการขายสินค้า ไม่ว่าจะเป็นการซื้อขายกันโดยตรงหรือซื้อขายผ่านระบบออนไลน์ก็ตาม มีหลักพิจารณาในทางกฎหมาย คือ ผู้บอกขายทุจริต หลอกลวงผู้ซื้อด้วยการแสดงข้อความอันเป็น เท็จ หรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งชัด และโดยการหลอกลวงนั้นผู้บอกขายได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคล ที่สาม การกระทำนั้นเป็นความผิดฐานฉ้อโกง

                แต่ก็พบว่าในการดำเนินคดีกับผู้หลอกลวง บางครั้งก็มีกรณี พนักงานสอบสวนมีความเห็นไม่สั่งฟ้องหรือพนักงานอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องคดี ตลอดจนแม้มีการฟ้องคดีแล้วแต่ศาลได้พิจารณาพิพากษาว่าไม่เป็นการฉ้อโกงเพราะ ข้อเท็จจริงในการนำสืบยังไม่ครบองค์ประกอบของความผิด ดังนี้ คนส่วนใหญ่จึงไม่อยากที่จะรักษาสิทธิของตนโดยคิดไปว่าเป็นการเสียเวลา ยังไงก็เอาผิดไม่ได้ ซึ่งน่าเห็นใจจริงๆครับ แต่ท่านก็อย่าเพิ่งหมดกำลังใจไป เหตุที่พนักงานสอบสวนมีความเห็นไม่สั่งฟ้องหรือพนักงานอัยการมีคำสั่งไม่ ฟ้องคดี ตลอดจนในกรณีที่ศาลมีคำพิพากษายกฟ้องก็เพราะมีความเห็นทางกฎหมายว่าสิ่งที่ ทำนั้นไม่ถึงกับเป็นความผิดฐานฉ้อโกง ทีนี้ ถ้าถูกหลอกแต่ไม่เป็นฉ้อโกงจะเอาผิดได้อีกหรือไม่มาดูกันครับ

               ที่จริงการขายสินค้านั้น การโฆษณา หรือ การพรรณนาสรรพคุณ และการบอกถึงแหล่งที่มาของสินค้า เป็นเรื่องสำคัญที่ผู้ขายต้องระวังให้จงหนัก ไม่ใช่เพียงกล่าวให้สวยหรูเพื่อการขายเพียงอย่างเดียวเป็นพอใจ ในวันนี้ผมจึงขอยกข้อกฎหมายเรื่อง "หลอกขาย" สินค้า ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๑ มาเล่าสู่กันฟังครับ




               การหลอกขาย ความหมายก็ตรงตัว คือตั้งใจหลอกผู้ซื้อ ในเรื่องที่มาของสินค้า สภาพ คุณภาพหรือปริมาณ เช่น ผู้ขายอ้างว่าสินค้านี้ เป็นของแท้จากญี่ปุ่น ทั้งๆที่จริงเป็นของแท้แต่ผลิตในประเทศไทย (เป็นของผลิตในไทยราคาถูกกว่า) หรือ รถมือสอง ผู้ขายบอกว่าเป็นรถบ้านสภาพดีใช้น้อยสวยทั้งคัน แต่ที่จริงมีการเปลี่ยนอะไหล่ (ยำอะไหล่) ไปแล้ว ผู้ซื้อนำมาใช้ได้ไม่นานก็ต้องมีการซ่อมใหญ่ เหล่านี้เป็นต้น ซึ่งการกระทำดังกล่าวเป็นการขายของโดย “หลอกลวง” ด้วยประการใด ๆ ให้ผู้ซื้อหลงเชื่อในแหล่งกำเนิด สภาพ คุณภาพหรือปริมาณแห่งของนั้นอัน “เป็นเท็จ” โดยการกระทำนั้นไม่ถึงกับเป็นความผิดฐานฉ้อโกง แต่ก็เป็นความผิดทางอาญา ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

                เห็นหรือไม่ครับ แม้ไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกงแต่ก็ยังมีความผิดฐานหลอกขายอยู่ ซึ่งผู้ซื้อก็ควรรู้ผู้ขายก็ควรระวัง หากมีข้อสงสัยสอบถามเพิ่มเติมได้ครับ

วันอาทิตย์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ใครเคยเป็นหุ้นส่วนสามัญบ้างยกมือขึ้น

               วันนี้มาพูดกันถึงประเด็นใกล้ตัวเราอีกเรื่องหนึ่งครับ ไม่ทราบว่าท่านใดเคยร่วมกันทำการค้าบ้างครับ ไม่ว่ากับเพื่อน กับคนรัก ขายของเล็กๆน้อยๆ ตลอดจนการเข้าหุ้นกันทำกิจการอย่างจริงจังเป็นหลักเป็นฐานแต่ไม่ได้ดำเนินการจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล อย่างบริษัท หรือห้างหุ้นส่วนจำกัด ฯ การที่ได้เข้าหุ้นกันทำกิจการโดยมีจุดประสงค์เพื่อแสวงหากำไรมาแบ่งกัน ไม่ว่าจะแบ่งกันแบบตามส่วนเท่าๆกันหรือตามแต่ที่จะได้ตกลงกันไว้ เช่นนี้ ในทางกฎหมายถือว่าท่านได้ก่อตั้งห้างหุ้นส่วนขึ้นมาแล้ว โดยไม่จำเป็นที่จะต้องจดทะเบียนหรือมีสำนักงานหน้าร้านแต่อย่างใด ซึ่งมีคำเรียกว่า “ห้างหุ้นส่วนสามัญ” ซึ่งมีสถานะทางกฎหมาย

                เมื่อเป็นการก่อตั้งห้างหุ้นส่วนสามัญขึ้นมาแล้ว กฎหมายได้กำหนดหน้าที่ ความรับผิด ทั้งระหว่างหุ้นส่วนด้วยกันเอง และที่ต้องมีต่อบุคคลภายนอกเอาไว้แล้วในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งในวันนี้ผมขอหยิบยกเอาหลักในเรื่องความรับผิดต่อเจ้าหนี้ของห้างหุ่น ส่วนสามัญมาเล่าสู่กันฟังพอเป็นสังเขป

                เมื่อทำการค้าก็ย่อมเป็นธรรมดาที่จะต้องมีการลงทุนและบ่อยครั้งจะต้องมีการ กู้ยืมหรือเปิดเครดิตสินค้า ไม่ว่าจะกู้เงินสดมาใช้ หรือ ซื้อเชื่อสินค้ามาขายก่อน หากของขายง่ายหมดเร็วได้กำไรก็ไม่น่าจะมีปัญหาแบ่งกำไรกันไปไม่ว่าจะแบ่งกัน แบบตามส่วนเท่าๆกันหรือตามแต่ที่จะได้ตกลงกันไว้อย่างมีความสุข แต่หากสินค้าขายไม่ออก ขาดทุน ปัญหาก็เกิด ทีนี้ จะแบ่งกันชำระหนี้เหมือนกับการแบ่งกำไรได้หรือไม่ คำตอบคือ ถ้าจ่ายหนี้เต็มจำนวนเจ้าหนี้ก็ไม่สนหลอกครับว่าเงินจะมาจากใครเท่าไหร่บ้าง แต่ถ้าไม่ยอมจ่ายจนต้องถูกฟ้องบังคับให้ชำระหนี้ กฎหมายกำหนดให้ผู้เป็นหุ้นส่วนทุกคนต้องร่วมกันรับผิดชอบให้หนี้สินของห้าง หุ้นส่วนอย่างไม่จำกัดจำนวน

               พูดง่ายๆเจ้าหนี้ไล่เบี้ยได้กับทุกคนโดยไม่สนจำนวนหุ้นของหุ้นส่วนแต่ละคน ว่าใครจะมากใครจะน้อย ไม่เหมือนกับตอนแบ่งกำไรกันเลย แต่ก็เป็นความรับผิดของหุ้นส่วนตามที่กฎหมายได้กำหนดไว้ครับ

วันศุกร์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ถูกโพสต์ภาพตัดต่อ ใช้สิทธิ์อะไรได้บ้าง

               นับวันเทคโนโลยียิ่งก้าวหน้า การใช้เทคโนโลยีในทางที่ผิด ก็มีปรากฏให้เห็นมากขึ้นทุกวัน แอพพลิเคชั่นต่างๆก็ออกแบบมามากมาย ดาวน์โหลดและใช้งานได้ง่ายจนเด็กเล็กๆก็สามารถใช้งานได้ และคนเราบ่อยครั้งที่เมื่อยามดีก็ดีกันสุดๆ พอผิดใจกันอะไรๆก็เกิดขึ้นได้

                มีผู้สอบถามมาว่าถูกโพสต์ภาพที่มีการตัดต่อลงในระบบออนไลน์เป็นเหตุให้ได้รับความเสียหาย จะทำยังไงได้บ้าง

                แน่นอนครับเมื่อมีการทำให้เกิดความเสียแก่เรา ในทางแพ่งย่อมเป็นละเมิดแม้ไม่มีเจตนาก็ตาม แต่ก็ยังต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ได้ทำไปซึ่งเป็นการละเมิดอยู่นั่นเอง การใช้สิทธิ์เรียกร้องค่าเสียหายทางแพ่งก็คำนึงถึงความเสียหายที่ผู้เสียหาย ได้รับ หากเป็นนักแสดงหรือบุคคลซึ่งมีชื่อเสียงแล้วค่าเสียหายย่อมเรียกได้สูงเป็น เงาตามตัว(สมเหตุสมผล)

                แต่การกระทำดังกล่าวจะไม่เป็นเพียงการละเมิดเท่านั้น หากการกระทำนั้นเป็นการโพสต์ภาพที่ตัดต่อเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ที่ประชาชน ทั่วไปอาจเข้าถึงได้ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่ปรากฏเป็นภาพของผู้อื่น และภาพนั้นเป็นภาพที่เกิดจากการสร้างขึ้น ตัดต่อ เติม หรือดัดแปลงด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์หรือวิธีการอื่นใด ทั้งนี้ โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง หรือได้รับความอับอาย ก็จะเป็นความผิดที่มีโทษทางอาญา ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ แต่การกระทำดังกล่าวจะไม่มีความผิด หากเป็นการกระทำโดยสุจริตและความผิดนี้เป็นความผิดอันยอมความได้ (พรบ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๑๖) ผู้เสียหายจึงสามรถแจ้งความดำเนินคดีอาญาได้ภายในอายุความ



                การตัดต่อภาพไม่จำเป็นจะต้องตัดต่อเฉพาะแต่ใบหน้าหรือส่วนของร่างกายอย่าง ที่เห็นกันบ่อยๆถึงจะเป็นความผิดนะครับ ไม่ว่าจะตัดต่อสถานที่ ตัดต่อบุคคลรอบข้าง ตัดต่อข้อความที่ปรากฎในภาพ สรุปคือ การตัดต่อแล้วนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ที่ประชาชน "อาจ" เข้าถึงได้ และ "น่าจะ" ทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง หรือได้รับความอับอาย ก็เป็นความผิดแล้วครับ