วันพุธที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2558

กฎหมายใหม่เพื่อความเท่าเทียมกันระหว่างเพศ

                ในปัจจุบันสังคมเรา มีทั้งผู้ที่ยึดถือเพศตามธรรมชาติของตน และที่แสดงออกอย่างเพศตรงกันข้ามกับธรรมชาติของตน ตลอดจนผู้ที่แปลงเพศแล้ว ได้อยู่ร่วมกันในสังคมอย่างเปิดเผย ไม่ว่าจะเป็นที่บ้าน ที่ทำงาน ที่สาธารณะ แต่บ่อยครั้งที่เรายังได้ยินข่าวการเรียกร้องจากบุคคล หรือกลุ่มสิทธิต่างๆ ให้มีการปฏิบัติต่อกันอย่างเท่าเทียมไม่ว่าจะเป็นเพศใดก็ตาม ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นปัญหาหนึ่งที่ทางรัฐเห็นความสำคัญจึงได้ออกกฎหมายฉบับ ใหม่ขึ้นมา คือ พระราชบัญญัติ ความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ. ๒๕๕๘ และได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วเมื่อวันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๕๘ ซึ่งกฎหมายฉบับนี้จะมีผลใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วัน ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป



               โดยเหตุผลในการออกกฎหมายฉบับนี้ คือ โดยที่ปัจจุบันไม่มีมาตรการป้องกันการเลือกปฏิบัติ โดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศที่ชัดเจน ส่งผลให้บุคคลซึ่งถูกเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ ไม่ได้รับความคุ้มครองและไม่ได้รับความเป็นธรรมเท่าที่ควร สมควรมีกฎหมายเพื่อกำหนดมาตรการคุ้มครองผู้ถูกเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม ระหว่างเพศ และป้องกันมิให้มีการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ ซึ่งสอดคล้องกับหลักการสิทธิมนุษยชนสากลตามพันธกรณีระหว่างประเทศที่ประเทศ ไทยเข้าเป็นภาคี

               นอกจากนั้นในกฎหมายฉบับนี้ ได้นิยมความหมายของการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศไว้ด้วย โดยหมายความว่า “การกระทำ หรือ ไม่กระทำการใดอันเป็นการ แบ่งแยก กีดกัน หรือจำกัด สิทธิประโยชน์ใด ๆ ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม โดยปราศจากความชอบธรรม เพราะเหตุที่บุคคลนั้นเป็นเพศชายหรือเพศหญิง หรือมีการแสดงออกที่แตกต่างจากเพศโดยกำเนิด”

                เมื่อกฎหมายฉบับนี้มีผลใช้บังคับ ก็จะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของผู้ที่เห็นว่าตนไม่ได้รับการปฏิบัติอย่างเท่า เทียมและเป็นธรรมโดยสาเหตุมาจากเพศของตนหรือที่ตนได้แสดงออก โดยผู้นั้นยังไม่ได้มีการใช้สิทธิ์ดำเนินคดีทางศาลไว้ก่อนแล้ว ก็สามารถยื่นข้อร้องเรียนต่อคณะกรรมการวินิจฉัยการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็น ธรรมระหว่างเพศ เรียกโดยย่อว่า “คณะกรรมการ วลพ.” ได้ เพื่อให้คณะกรรมการดังกล่าวได้วินิจฉัยถึงเหตุที่เกิดขึ้นว่าเป็นการกระทำ ที่ไม่เท่าเทียมกันระหว่างเพศหรือไม่ โดยหากเป็นจริง คณะกรรมการ วลพ. มีอำนาจกำหนดการชดเชยและเยียวยาให้แก่ผู้เสียหายได้ และหากคณะกรรมการ วลพ.มีคำสั่งให้เยียวยาแล้วแต่ผู้รับคำสั่งไม่ยอมปฏิบัติตามก็จะมีโทษทาง อาญา

               กฎหมายฉบับนี้ยังมีรายละเอียดที่น่าสนใจอยู่อีกมาก เชิญเข้าไปศึกษาได้ตามไฟล์ที่แนบมาครับ

ที่มากฎหมาย http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2558/A/018/17.PDF





หวังว่าจะเป็นความรู้แก่ท่านผู้อ่านไม่มากก็น้อย ซึ่งหากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามเข้ามาได้ และช่วยกันเผยแพร่ให้เป็นความรู้แก่บุคคลทั่วไปครับ

ที่ปรึกษากฎหมาย นิติ ลอว์


















ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น