
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 11332/2555
จำเลยเป็นผู้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการสถานพยาบาล บุตรของโจทก์ได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์ที่นั่งซ้อนท้ายชนแผง เหล็กกั้นทางโค้งและบุตรของโจทก์มีอาการเจ็บปวด มีภาวะการบอบช้ำของสมองและโลหิตออกในสมอง จะต้องได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที แม้ไม่ปรากฏบาดแผลร้ายแรงที่มองเห็นจากภายนอก แต่พยาบาลเวรซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยกลับให้ผู้ช่วยพยาบาลตรวจค้นหลักฐานใน ตัวบุตรของโจทก์ว่า มีบัตรประกันสังคม บัตรประกันสุขภาพ 30 บาท หรือบัตรประกันชีวิตหรือไม่ เมื่อไม่พบหลักฐานใด จึงสอบถามเจ้าหน้าที่อาสาสมัครมูลนิธิที่เป็นผู้นำส่งว่าใครจะรับผิดชอบค่า ใช้จ่าย เมื่อไม่มีคำตอบ จึงปฏิเสธที่จะรับบุตรของโจทก์ไว้รักษา โดยแนะนำให้ไปรักษายังโรงพยาบาลของรัฐ การที่พยาบาลเวรลูกจ้างของจำเลยปฏิเสธไม่รับบุตรของโจทก์เข้ารับการรักษาดัง กล่าว ถือได้ว่าเป็นผลโดยตรงที่ทำให้บุตรของโจทก์ถึงแก่ความตาย จำเลยซึ่งเป็นนายจ้าง เป็นผู้ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการสถานพยาบาล มีหน้าที่ต้องควบคุมและดูแลให้มีการช่วยเหลือเยียวยาแก่ผู้ป่วย ซึ่งอยู่ในสภาพอันตรายและจำเป็นต้องได้รับการรักษาโดยฉุกเฉิน เพื่อให้ผู้ป่วยพ้นจากอันตรายตามมาตรฐานวิชาชีพ ตาม พ.ร.บ.สถานพยาบาล พ.ศ. 2541 มาตรา 36 แต่กลับไม่ควบคุมดูแลการปฏิบัติงานของลูกจ้างดังกล่าว จึงเป็นการละเมิดต่อโจทก์
ข้อเท็จจริงจากคำพิพากษาข้างต้น จะเห็นได้ว่า ผู้ได้รับอนุญาตประกอบกิจการสถานพยาบาลนั้น มีหน้าที่ตามกฎหมายที่ต้องช่วยเหลือผู้บาดเจ็บฉุกเฉินที่จะต้องได้รับการ รักษาอย่างทันท่วงที อันเป็นหน้าที่โดยตรง ดังนี้ เมื่อไม่มีเหตุอันสมควรอย่างยิ่งจะปฏิเสธการรักษาไม่ได้ และ จากการละเว้นการทำหน้าที่ของตนนั้นมีผลทำให้ผู้บาดเจ็บถึงแก่ความตาย อันเป็นผลโดยตรงจากละเว้นการทำหน้าที่ดังกล่าว จึงเป็นการทำละเมิด ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทน
หวังว่าจะเป็นความรู้แก่ท่านผู้อ่านไม่มากก็น้อย ซึ่งหากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามเข้ามาได้ และช่วยกันเผยแพร่ให้เป็นความรู้แก่บุคคลทั่วไปครับ
ที่ปรึกษากฎหมาย นิติ ลอว์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น