ท่านที่เป็นนักลงทุนหน้าเก่าคงรู้คำตอบในเบื้องต้นดีอยู่แล้ว
แต่นักลงทุนหน้าใหม่ หรือ บุคคลทั่วไปคงยังไม่ทราบกันแพร่หลายนัก
ซึ่งประเด็นนี้เป็นเรื่องที่พบเห็นกันได้อยู่บ่อยครั้ง
มูลเหตุแห่งปัญหาที่พบบ่อยครั้งในเรื่องนี้ก็สืบเนื่องมาจาก ผู้ซื้อทรัพย์นั้นไม่มีข้อมูลของทรัพย์ที่ตนจะประมูลมากเพียงพอ ในบางครั้งไม่ทราบว่าในที่ดิน หรือ อาคารสถานที่แห่งที่ตนจะประมูลซื้อนั้น มีลูกหนี้ตลอดจนบริวารของลูกหนี้ยังคงอาศัยครอบครองอยู่ หรืออาจรู้แต่ก็คิดว่าไม่เป็นไร ซึ่งก็จริงครับหากซื้อแล้วบุคคลเหล่านั้นยินยอมออกไปแต่โดยดี แต่ถ้าไม่ยอมหละ จะทำอย่างไร
เรื่องนี้มีคำตอบได้ดังนี้ครับ เมื่อผู้ซื้อได้รับโอนอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าวจากเจ้าพนักงานมาเป็นของตน แล้ว หากในที่ดินหรืออาคารสถานที่แห่งนั้น ยังมีลูกหนี้ตลอดจนบริวารของลูกหนี้อาศัยอยู่แล้วไม่ยอมย้ายยอก ผู้ซื้อสามารถยื่นคำร้องต่อศาลที่อสังหาริมทรัพย์นั้นตั้งอยู่ในเขตอำนาจ เพื่อขอออกคำบังคับให้ลูกหนี้ตามคำพิพากษาหรือบริวารออกไปจากอสังหาริม ทรัพย์นั้นได้โดยไม่ต้องไปฟ้องขับไล่ ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๓๐๙ ตรี ซึ่งสิทธิ์นี้เป็นสิทธิเฉพาะตัวแก่ผู้ซื้อทรัพย์จากการขายทอดตลาดของกรม บังคับคดีโดยตรงเท่านั้น ถ้ามีการขายต่ออีกชั้นหนึ่งผู้ซื้อรายต่อไปจะใช้สิทธิยื่นคำร้องขอออกคำ บังคับโดยไม่ฟ้องขับไล่ไม่ได้ และอีกประการหนึ่งที่เห็นว่ายังมีผู้เข้าใจกันผิดอยู่บ้างก็คือ การซื้อทรัพย์ที่กล่าวถึงนั้น จะต้องเป็นการซื้อจากการขายทอดตลาดเนื่องจากการบังคับคดีเท่านั้น หากเป็นการซื้อมาจากที่ประชุมเจ้าหนี้ในคดีล้มละลาย หรือ ซื้อทรัพย์ที่อยู่ระหว่างการยึดของเจ้าพนักงานบังคับคดีก็ตาม แต่ได้ถอนการยึดไปเพราะเจ้าหนี้ได้ตามประสงค์แล้วโดยไม่มีการขายทอดตลาด เช่นนี้ผู้ซื้อไม่สามารถใช้สิทธิตาม ป.วิ.พ. ม.๓๐๙ ตรี ได้ อีกทั้งกฎหมายบัญญัติชัดเจนว่า ผู้ที่อยู่อาศัยในอสังหาริมทรัพย์แล้วไม่ยอมออกไปนั้น ต้องเป็นลูกหนี้หรือบริวารของลูกหนี้เท่านั้น ถ้าเป็นบุคคลอื่นผู้ซื้อทรัพย์ก็ต้องไปฟ้องขับไล่เป็นคดีใหม่ครับ
นอกจากนี้ยังมีประเด็นเพิ่มเติมอีกอย่างหนึ่งว่า ถ้าจะไม่ยื่นขอออกคำบังคับ แต่จะฟ้องขับไล่แทนได้หรือไม่
ท่านคงสงสัยว่าแล้วจะทำเรื่องให้ยุ่งยากไปทำไม ผมเรียนอย่างนี้ครับ เหตุที่มีผู้คิดทำเช่นนี้ก็คือ การร้องขอให้ออกคำบังคับนั้นทำได้เพียงบังคับให้ออกไปอย่างเดียวเท่านั้น แต่การฟ้องขับไล่นอกจากจะบังคับให้ออกไปแล้ว โจทก์ยังสามารถเรียกค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ยจากผู้อยู่อาศัยได้อีกทางหนึ่ง ด้วย ซึ่งประเด็นนี้ ป.วิ.พ. ม.๓๐๙ ตรี นั้นไม่ได้เป็นบทบัญญัติไว้โดยเฉพาะให้ต้องกระทำ จึงขึ้นอยู่กับผู้มีสิทธิ์ว่าจะเลือกใช่หรือไม่ก็ได้
คงเห็นแล้วนะครับว่าสิทธิของผู้ซื้อทรัพย์ในการขายทอดตลาดจากกรมบังคับคดีมี กฎหมายรองรับไว้แล้ว พูดง่ายๆ ซื้อแล้วหายห่วงได้เลยครับ ทั้งนี้ ก็เพื่อให้กระบวนการบังคับคดีนั้นสามารถบรรลุผลสำเร็จในการแก้ปัญหาหนี้ได้ นั่นเองครับ
แต่ไม่ว่าอย่างไร ผู้เขียนขอฝากข้อคิดไว้สักนิด หากผู้ซื้อทรัพย์แล้วเจอกรณีเช่นนี้ ก็ขอให้มองมุมกลับด้วยว่า หากผู้ที่อยู่อาศัยนั้นลำบากยากแค้น ก็ขอให้ดำเนินการอย่างเห็นอกเห็นใจกัน โดยให้เวลากันตามสมควร เพื่อที่เขาเหล่านั้นจะได้หาที่อยู่ใหม่ได้ หรืออาจทำสัญญาเช่ากันไป ก็เป็นการสมประโยชน์ทั้งสองฝ่ายครับ
อ้างอิง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 12573/2556
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3712/2555
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6138/2551
หวังว่าจะเป็นความรู้แก่ท่านผู้อ่านไม่มากก็น้อย ซึ่งหากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามเข้ามาได้ และช่วยกันเผยแพร่ให้เป็นความรู้แก่บุคคลทั่วไปครับ
ที่ปรึกษากฎหมาย นิติ ลอว์
#ปรึกษากฎหมาย #บังคับคดี #ขับไล่
มูลเหตุแห่งปัญหาที่พบบ่อยครั้งในเรื่องนี้ก็สืบเนื่องมาจาก ผู้ซื้อทรัพย์นั้นไม่มีข้อมูลของทรัพย์ที่ตนจะประมูลมากเพียงพอ ในบางครั้งไม่ทราบว่าในที่ดิน หรือ อาคารสถานที่แห่งที่ตนจะประมูลซื้อนั้น มีลูกหนี้ตลอดจนบริวารของลูกหนี้ยังคงอาศัยครอบครองอยู่ หรืออาจรู้แต่ก็คิดว่าไม่เป็นไร ซึ่งก็จริงครับหากซื้อแล้วบุคคลเหล่านั้นยินยอมออกไปแต่โดยดี แต่ถ้าไม่ยอมหละ จะทำอย่างไร
เรื่องนี้มีคำตอบได้ดังนี้ครับ เมื่อผู้ซื้อได้รับโอนอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าวจากเจ้าพนักงานมาเป็นของตน แล้ว หากในที่ดินหรืออาคารสถานที่แห่งนั้น ยังมีลูกหนี้ตลอดจนบริวารของลูกหนี้อาศัยอยู่แล้วไม่ยอมย้ายยอก ผู้ซื้อสามารถยื่นคำร้องต่อศาลที่อสังหาริมทรัพย์นั้นตั้งอยู่ในเขตอำนาจ เพื่อขอออกคำบังคับให้ลูกหนี้ตามคำพิพากษาหรือบริวารออกไปจากอสังหาริม ทรัพย์นั้นได้โดยไม่ต้องไปฟ้องขับไล่ ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๓๐๙ ตรี ซึ่งสิทธิ์นี้เป็นสิทธิเฉพาะตัวแก่ผู้ซื้อทรัพย์จากการขายทอดตลาดของกรม บังคับคดีโดยตรงเท่านั้น ถ้ามีการขายต่ออีกชั้นหนึ่งผู้ซื้อรายต่อไปจะใช้สิทธิยื่นคำร้องขอออกคำ บังคับโดยไม่ฟ้องขับไล่ไม่ได้ และอีกประการหนึ่งที่เห็นว่ายังมีผู้เข้าใจกันผิดอยู่บ้างก็คือ การซื้อทรัพย์ที่กล่าวถึงนั้น จะต้องเป็นการซื้อจากการขายทอดตลาดเนื่องจากการบังคับคดีเท่านั้น หากเป็นการซื้อมาจากที่ประชุมเจ้าหนี้ในคดีล้มละลาย หรือ ซื้อทรัพย์ที่อยู่ระหว่างการยึดของเจ้าพนักงานบังคับคดีก็ตาม แต่ได้ถอนการยึดไปเพราะเจ้าหนี้ได้ตามประสงค์แล้วโดยไม่มีการขายทอดตลาด เช่นนี้ผู้ซื้อไม่สามารถใช้สิทธิตาม ป.วิ.พ. ม.๓๐๙ ตรี ได้ อีกทั้งกฎหมายบัญญัติชัดเจนว่า ผู้ที่อยู่อาศัยในอสังหาริมทรัพย์แล้วไม่ยอมออกไปนั้น ต้องเป็นลูกหนี้หรือบริวารของลูกหนี้เท่านั้น ถ้าเป็นบุคคลอื่นผู้ซื้อทรัพย์ก็ต้องไปฟ้องขับไล่เป็นคดีใหม่ครับ
นอกจากนี้ยังมีประเด็นเพิ่มเติมอีกอย่างหนึ่งว่า ถ้าจะไม่ยื่นขอออกคำบังคับ แต่จะฟ้องขับไล่แทนได้หรือไม่
ท่านคงสงสัยว่าแล้วจะทำเรื่องให้ยุ่งยากไปทำไม ผมเรียนอย่างนี้ครับ เหตุที่มีผู้คิดทำเช่นนี้ก็คือ การร้องขอให้ออกคำบังคับนั้นทำได้เพียงบังคับให้ออกไปอย่างเดียวเท่านั้น แต่การฟ้องขับไล่นอกจากจะบังคับให้ออกไปแล้ว โจทก์ยังสามารถเรียกค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ยจากผู้อยู่อาศัยได้อีกทางหนึ่ง ด้วย ซึ่งประเด็นนี้ ป.วิ.พ. ม.๓๐๙ ตรี นั้นไม่ได้เป็นบทบัญญัติไว้โดยเฉพาะให้ต้องกระทำ จึงขึ้นอยู่กับผู้มีสิทธิ์ว่าจะเลือกใช่หรือไม่ก็ได้
คงเห็นแล้วนะครับว่าสิทธิของผู้ซื้อทรัพย์ในการขายทอดตลาดจากกรมบังคับคดีมี กฎหมายรองรับไว้แล้ว พูดง่ายๆ ซื้อแล้วหายห่วงได้เลยครับ ทั้งนี้ ก็เพื่อให้กระบวนการบังคับคดีนั้นสามารถบรรลุผลสำเร็จในการแก้ปัญหาหนี้ได้ นั่นเองครับ
แต่ไม่ว่าอย่างไร ผู้เขียนขอฝากข้อคิดไว้สักนิด หากผู้ซื้อทรัพย์แล้วเจอกรณีเช่นนี้ ก็ขอให้มองมุมกลับด้วยว่า หากผู้ที่อยู่อาศัยนั้นลำบากยากแค้น ก็ขอให้ดำเนินการอย่างเห็นอกเห็นใจกัน โดยให้เวลากันตามสมควร เพื่อที่เขาเหล่านั้นจะได้หาที่อยู่ใหม่ได้ หรืออาจทำสัญญาเช่ากันไป ก็เป็นการสมประโยชน์ทั้งสองฝ่ายครับ
อ้างอิง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 12573/2556
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3712/2555
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6138/2551
หวังว่าจะเป็นความรู้แก่ท่านผู้อ่านไม่มากก็น้อย ซึ่งหากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามเข้ามาได้ และช่วยกันเผยแพร่ให้เป็นความรู้แก่บุคคลทั่วไปครับ
ที่ปรึกษากฎหมาย นิติ ลอว์
#ปรึกษากฎหมาย #บังคับคดี #ขับไล่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น