วันเสาร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2559

การ “เรียกเก็บ” กับ “ยึด” ใบอนุญาตขับขี่ เป็นกรณีเดียวกันหรือไม่ และ ความเห็น กรณีที่ไม่ยอมให้เรียกเก็บใบอนุญาตขับขี่จะมีโทษอย่างไร ?

               ประเด็นนี้เป็นเรื่องถกเถียงกันมากพอสมควร และหลายท่านก็มีข้อสงสัยกันมาตลอดว่า การที่เจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย ตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 เมื่อออกใบสั่งแล้วเรียกเก็บใบอนุญาตขับขี่ไปจะเป็นกรณีเดียวกันกับการยึดใบอนุญาตขับขี่ด้วยหรือไม่นั้น บัดนี้ ได้มีคำพิพากษาศาลฎีกาวินิจฉัยให้ความกระจ่างแก่ผู้สนใจได้ศึกษากันเสียที โดยคำพิพากษาศาลฎีกาฉบับดังกล่าวพอสรุปใจความสำคัญได้ดังนี้


               “การเรียกเก็บใบอนุญาตขับขี่ไว้เป็นการชั่วคราว” นั้น เป็นการใช้ดุลพินิจของเจ้าพนักงาน มีวัตถุประสงค์ที่จะให้ผู้ขับขี่ที่ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 รีบไปชำระค่าปรับตามคำสั่งของเจ้าพนักงานจราจรโดยเร็ว เพื่อจะได้รับใบอนุญาตขับขี่คืนจากพนักงานสอบสวนทันที อันจะทำให้สามารถขับขี่รถต่อไปได้โดยถูกต้องตามกฎหมาย ทั้งนี้ เจ้าพนักงานจราจรต้อง ให้ใบรับแทนใบอนุญาตขับขี่ที่ออกให้ใช้แทนใบอนุญาตขับขี่ได้เป็นการชั่วคราวไม่เกินเจ็ดวัน หรือใบรับการส่งธนาณัติ หรือใบรับการส่งตั๋วแลกเงิน ประกอบกับใบสั่งเป็นใบแทนใบอนุญาตขับขี่ได้เป็นเวลาสิบวันนับแต่วันที่ส่งธนาณัติหรือตั๋วแลกเงิน


               “การสั่งยึดใบอนุญาตขับขี่” เป็นอำนาจของ ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ผู้บัญชาการตำรวจภูธร ผู้บังคับการตำรวจจราจร ผู้บังคับการตำรวจทางหลวง ตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 ครั้งละไม่เกินหกสิบวัน และผู้ขับขี่มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งได้ตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 161 ทั้งนี้ กรณีเจ้าพนักงานจราจรจะเป็นผู้สั่งยึดจะต้องได้รับมอบอำนาจจากผู้มีอำนาจข้างต้นเสียก่อนจึงจะมีอำนาจสั่งยึดได้

               เมื่อพิจารณาจากใจความสำคัญทั้งสองประเด็นนี้แล้วจะเห็นได้ว่า   ทั้งสองกรณีมีความแตกต่างกันอยู่พอสมควร โดยการเรียกเก็บใบอนุญาตขับขี่เมื่อมีการออกใบสั่งนั้นไม่ใช่การลงโทษ มีวัตถุประสงค์เพียงเพื่อกระตุ้นให้ผู้ขับขี่เร่งไปชำระค่าปรับเพื่อให้การขับขี่ครั้งต่อไปไม่เป็นการฝ่าฝืนกฎหมายเท่านั้น แต่การสั่งยึดใบอนุญาตขับขี่เป็นการชั่วคราวนั้น มีลักษณะเป็นลงโทษชัดเจน ซึ่งหากผู้รับคำสั่งไม่เห็นด้วยก็สามารถใช้สิทธิ์อุทธรณ์ได้ตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป จากคำพิพากษาศาลฎีกาฉบับนี้จึงเป็นการให้ความกระจ่างชัดในข้อสงสัยของหลายท่านได้ดีทีเดียว ศึกษารายละเอียดตามคำพิพากษาด้านล่างนี้ครับ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1669/2559
                การที่ พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 140, 141, 161 ทวิ กำหนดให้เจ้าพนักงานจราจรใช้ดุลพินิจเรียกเก็บใบอนุญาตขับขี่ไว้เป็นการชั่วคราว และให้ใบรับแทนใบอนุญาตขับขี่ที่ออกให้ใช้แทนใบอนุญาตขับขี่ได้เป็นการชั่วคราวไม่เกินเจ็ดวัน หรือใบรับการส่งธนาณัติ หรือใบรับการส่งตั๋วแลกเงิน ประกอบกับใบสั่งเป็นใบแทนใบอนุญาตขับขี่ได้เป็นเวลาสิบวันนับแต่วันที่ส่งธนาณัติหรือตั๋วแลกเงิน เมื่อเจ้าพนักงานจราจรผู้ออกใบสั่งมิได้รับมอบอำนาจจากผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ผู้บัญชาการตำรวจภูธร ผู้บังคับการตำรวจจราจร ผู้บังคับการตำรวจทางหลวง ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจสั่งยึดใบอนุญาตขับขี่ที่ได้กระทำความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 ครั้งละไม่เกินหกสิบวัน และผู้ขับขี่มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งได้ตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 161 จึงไม่มีอำนาจสั่งยึดใบอนุญาตขับขี่ตามบทบัญญัติดังกล่าว กรณีจึงไม่อาจแปลความคำว่า "เรียกเก็บใบอนุญาตขับขี่ไว้เป็นการชั่วคราว" ตามมาตรา 140 วรรคสาม ว่า เป็นการยึดใบอนุญาตขับขี่ การที่จำเลยซึ่งเป็นผู้ได้รับใบอนุญาตปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้ประจำรถขับขี่รถในระหว่างที่เจ้าพนักงานจราจรเรียกเก็บใบอนุญาตขับขี่ไว้เป็นการชั่วคราว และพ้นกำหนดเวลาเจ็ดวันนับแต่วันที่เจ้าพนักงานจราจรออกใบรับแทนใบอนุญาตขับขี่แล้ว จึงมิใช่เป็นการปฏิบัติหน้าที่ในระหว่างถูกยึดใบอนุญาตขับรถตามกฎหมายว่าด้วยจราจรทางบกอันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.การขนส่งทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 152

..................................................................................


               ที่นี้เรามาลงลึกในเรื่องการเรียกเก็บใบอนุญาตขับขี่ไว้เป็นการชั่วคราวกันต่อ

               เมื่อกฎหมายกำหนดให้เป็นการใช้ดุลพินิจ ย่อมแสดงว่า กฎหมายไม่ได้บังคับให้เจ้าพนักงานจราจรต้องเรียกเก็บใบอนุญาตขับขี่ไว้ทุกครั้งที่มีการออกใบสั่ง กรณีนี้ เจ้าพนักงานจราจรก็ต้องใช้ดุลพินิจให้เหมาะสมแก่พฤติการณ์ หากในขณะกวดขันวินัยจราจรอยู่นั้น เป็นเวลากลางคืน หรือเป็นสถานที่ห่างไกลโรงพัก และในสถานที่ดังกล่าวนั้นไม่มีพนักงานสอบสวนที่จะทำการเปรียบเทียบ(ปรับ)อยู่ในพื้นที่เดียวกันหรือในระยะอันใกล้ หรือ กรณีเจ้าพนักงานจราจรยังไม่พร้อมจะนำส่งใบขับขี่ที่เรียกเก็บไว้ไปยังพนักงานสอบสวนท้องที่ได้โดยเร็ว หรือ เป็นกรณีของคนเดินทางไกลมาจากต่างจังหวัดและไม่ได้หยุดอยู่ในท้องนี้นั้น เหล่านี้ การเรียกเก็บใบอนุญาตขับขี่ไปย่อมทำให้เกิดความไม่สะดวกแก่ผู้ขับขี่เป็นอย่างมาก ในประเด็นนี้ ต้องขอให้เจ้าพนักงานจราจรพิจารณาถึงเหตุผลและสถานการณ์ประกอบการเรียกเก็บด้วย จึงจะเป็นการบังคับใช้กฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพ เหมาะสมและเป็นธรรม


                เมื่อกรณีเจ้าพนักงานเรียกเก็บใบอนุญาตขับขี่ แต่ผู้ขับขี่ไม่ยินยอม จะมีความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 หรือไม่ ?
 
                อำนาจการเรียกเก็บใบอนุญาตขับขี่ดังกล่าวนั้น กำหนดอยู่ใน พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 140 วรรคสาม ความว่า “ในการออกใบสั่งให้ผู้ขับขี่ชำระค่าปรับตามที่เปรียบเทียบตามวรรคหนึ่ง เจ้าพนักงานจราจรหรือพนักงานเจ้าหน้าที่จะเรียกเก็บใบอนุญาตขับขี่ไว้เป็นการชั่วคราวก็ได้ แต่ต้องออกใบรับแทนใบอนุญาตขับขี่ให้แก่ผู้ขับขี่ไว้ และเจ้าพนักงานจราจรหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ต้องรีบนำใบอนุญาตขับขี่ที่เรียกเก็บไว้ไปส่งมอบพนักงานสอบสวนภายในแปดชั่วโมง นับแต่เวลาที่ออกใบสั่ง” ซึ่งเมื่อพิจารณาตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 ลักษณะ 19 ในเรื่อง บทลงโทษ ก็ไม่ปรากฏว่ามีบทบัญญัติโทษกรณีที่ไม่ยินยอมตามมาตรา 140 วรรคสามไว้ ผมเห็นว่าน่าจะพอแสดงให้เห็นถึงเจตนารมณ์ของกฎหมายที่จะให้เป็นไปตามความสมัครใจของผู้ขับขี่ที่จะส่งมอบใบอนุญาตขับขี่ให้แก่เจ้าพนักงานด้วยส่วนหนึ่ง มิเช่นนั้นคงได้กำหนดบทลงโทษไว้ชัดเจนมาแต่ต้นแล้วเหมือนดังเช่นที่ได้กำหนดบทลงโทษผู้ที่ขัดคำสั่งเจ้าพนักงานจราจรหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งสั่งตามมาตรา ๑๔๐ วรรคสอง ตามความในมาตรา 150 (5) และนอกจากนี้ ผมยังมีความเห็นว่า "การเรียกเก็บ" คือ เรียกให้ส่งมอบ ไม่ใช่การฉกเอา ฉวยเอา หากผู้ขับขี่ไม่ยินยอมเจ้าพนักงานก็ไม่น่าจะมีอำนาจถึงขั้นดึงเอาไปจากผู้ขับขี่ได้


               แล้วหากไม่ยอมส่งมอบจะเป็นการขัดคำสั่งเจ้าพนักงานตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 368 หรือไม่ ?

               ในประเด็นนี้ ผมเห็นว่า การตีความกฎหมายซึ่งมีโทษทางอาญาต้องตีความอย่างเคร่งครัด และ ตามพจนานุกรม คำว่า “เรียก” ในกรณีนี้ มีความหมายว่า กำหนดเอา , ร้องเอา เช่น หมอเรียกค่ารักษาพยาบาล โจทก์เรียกค่าเสียหาย รัฐบาลเรียกเก็บภาษี กับ คำว่า “ยึด” ในกรณีนี้ มีความหมายว่า ใช้อำนาจรับสิ่งใดสิ่งหนึ่งมา เช่น ยึดใบขับขี่ ยึดทรัพย์ ผมเห็นว่าทั้งสองคำมีความหมายแตกต่างกันในเรื่องสภาพบังคับ ดังนี้ กรณีที่เจ้าพนักงานมีเพียงอำนาจเรียกเก็บใบอนุญาตขับขี่เท่านั้น จึงไม่อาจตีความว่าเป็นการออกคำสั่งโดยชอบตามกฎหมายได้ และนอกจากนี้ หากเป็นกรณีความผิดฐานการขัดคำสั่งที่ พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 ได้กำหนดบทลงโทษไว้โดยเฉพาะแล้วก็จะไม่เป็น ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 368 อีก ดังคำพิพากษาศาลฎีกาเรื่องต่อไปนี้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 728/2502
                การที่จำเลยไม่ไปรายงานตนตามคำสั่งของเจ้าพนักงานจราจรนั้นไม่เป็นความผิดฐานขัดคำสั่งเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 368 อันเป็นบทกฎหมายทั่วไป เพราะ พระราชบัญญัติจราจรทางบกได้บัญญัติไว้เป็นพิเศษใน มาตรา 64 และ 67 ซึ่งอยู่ในส่วนที่ว่าด้วยบทกำหนดโทษ ว่า ถ้าจำเลยไม่ไปตามคำสั่งของเจ้าพนักงานจราจรดังกล่าว ห้ามมิให้เปรียบเทียบ ให้จัดการฟ้องจำเลยไปทีเดียว อันเป็นบทลงโทษจำเลยอยู่แล้ว (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 10/2502)

***อย่างไรก็ตาม ความเห็นต่างๆในโพสต์นี้เป็นเพียงความเห็นโดยส่วนตัวของผมเท่านั้น ซึ่งหากจะให้เป็นที่ยุติจำต้องศึกษาจากคำพิพากษาศาลฎีกาในเรื่องที่เกี่ยวข้องต่อไปครับ

หวังว่าจะเป็นประโยชน์แก่ท่านผู้อ่านไม่มากก็น้อย ซึ่งหากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามเข้ามาได้ และช่วยกันเผยแพร่ให้เป็นความรู้แก่บุคคลทั่วไปครับ

ที่ปรึกษากฎหมาย นิติ ลอว์
#ปรึกษากฎหมาย #ยึดใบขับขี่

วันอาทิตย์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2559

ค้าขายออนไลน์ (E-Commerce) สร้างความน่าเชื่อถือได้ง่ายๆโดยไม่ต้องแสดงบัตรประชาชน


   จบไปด้วยดีกับกรณีพ่อค้าประดับยนต์ที่ถูกมิจฉาชีพหลอกให้ส่งมอบภาพถ่ายสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนและนำไปสู่การฉ้อฉลต่างๆ จนเป็นเหตุให้เงินในบัญชีของเขาต้องสูญไป  โดยกว่าที่ทางธนาคารจะตกลงยอมคืนเงินให้ก็ต้องมีการป่าวประกาศไปยังที่ต่างๆจนเกิดแรงกระเพิ่มของสังคมมากดดันให้ทางธนาคารต้องออกมารับผิดชอบ ซึ่งเท่าทราบกรณีของพ่อค้ารายนี้นั้นไม่ใช่กรณีแรก และเรื่องแบบนี้ก็ยังคงเกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง 




             ที่นี้เรามาลองค่อยๆคิดดูกันว่า อะไรคือสาเหตุที่มิจฉาชีพมองเห็นช่องทางทำกิน(บนหลังคนดี)

             ในเบื้องต้นเราเห็นแล้วว่า คนร้ายแฝงตัวทำทีโทรมาคุยเพื่อขอซื้อสินค้า  ซึ่งเราก็พ่อค้าธรรมดาๆ อยากขายสิ้นค้าออกไป จึงเจรจาเรื่องการซื้อขายกัน  จากนั้นคนร้ายก็ให้ยืนยันตัวบุคคล โดยวิธีการส่งสำเนาบัตรประชาชนไปให้ ซึ่งเป็นวิธีที่นิยมทำกัน คนร้ายจึงได้รับสำเนาเอกสารประจำตัวของเราไปในขั้นตอนนี้เอง  แล้วก็ไปใช้ช่องทางต่างๆจนได้เงินจากบัญชีธนาคารของพ่อค้ารายนี้ไปจำนวนมาก

                 จุดผิดพลาดอยู่ตรงไหนครับ ? 

               จุดผิดพลาดอยู่ที่ การส่งมอบสำเนา(ภาพถ่าย)บัตรประจำตัวประชาชนนั้นเอง  ซึ่งวิธีนี้ ผมได้แนะนำผู้ประกอบการออนไลน์ที่ผมดูแลอยู่ว่า"ห้ามทำเด็ดขาด" เพราะอาจตกไปเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพได้ง่ายๆ   ซึ่งแน่นอนครับว่า เมื่อที่ปรึกษากฎหมายบอกว่าไม่ควรทำ ย่อมมีคำถามตามกลับมาเสมอว่า  “ถ้าเช่นนั้นจะทำอย่างไรให้ลูกค้าเชื่อถือได้และปลอดภัยไม่เสี่ยงถูกหลอกลวง”  

               "วิธีในเบื้องต้นที่ผมจะแนะนำ"

               หากกิจการของท่านได้ทำขึ้นแบบเป็นจริงเป็นจังแล้ว ก็ต้องทำตัวให้ถูกกฎหมายด้วย นั้นก็คือ ไปจดทะเบียนการค้า(จดทะเบียนพาณิชย์ )เสียให้ถูกต้องครับ  

               จากที่เล่ามาถึงตอนนี้ ผู้รับบริการบางท่านก็พอเข้าใจ บางท่านก็ยัง งง ๆ   ว่าความน่าเชื่อถือมันเกี่ยวอะไรกันกับเรื่องทะเบียนพาณิชย์   

               "เกี่ยวสิครับ"  เกี่ยวมากๆด้วย ก็เพราะ ผู้ที่ทำการค้าไม่ว่าจะมีหน้าร้านจริงๆหรือเป็นแบบหน้าร้านเสมือนจริง ซึ่งอยู่ในโลกออนไลน์นั้น สิ่งสำคัญที่สุดประการหนึ่งของการทำการค้าขายก็คือ ความน่าเชื่อถือ  โดยในประเด็นนี้ผมคงไม่ต้องอธิบายต่อนะครับเพราะคนทำการค้าย่อมทราบดี    

                แล้วการจดทะเบียนพาณิชย์   จะช่วยให้เรามีความน่าเชื่อถือได้อย่างไร ?

               ช่วยได้แน่นอนครับ   แต่ก่อนจะไปถึงตรงนั้น ผมขอทำความเข้าใจกับทุกท่านก่อนครับว่า  พ่อค้าแม่ขายทั้งหลาย ไม่ว่าจะรายเล็กหรือรายใหญ่ ที่ค้าขายอยู่บนโลกออนไลน์ หรือ ที่เรียกว่า E-Commerce นั้น  และมีที่ตั้งสำนักงานอยู่ในประเทศไทย  ถือว่าเป็นผู้ประกอบพาณิชยกิจทุกคนและต้องจดทะเบียนพาณิชย์ด้วย   ตามประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง ให้ผู้ประกอบพาณิชยกิจต้องจดทะเบียนพาณิชย์ (ฉบับที่ 11) พ.ศ. 2553 (ลงวันที่ 10 พฤศจิกายน2553)    และถ้าผู้ประกอบการรายใดฝ่าฝืนจะมีโทษปรับไม่เกิน  2,000 บาท และปรับรายวันเพิ่มอีกไม่เกินวันละ 100 บาท จนกว่าจะจดทะเบียนให้ถูกต้อง ดังนั้น อย่างน้อยเมื่อคุณคิดทำการค้าแบบจริงจังแล้ว ก็ต้องไปจดทะเบียนพาณิชย์ เสียให้ถูกต้องนะครับ  

               ประการต่อมาที่ว่าการจดทะเบียนพาณิชย์   จะสร้างความน่าเชื่อถือให้กับ E-Commerce  ได้อย่างไรนั้น  ผมขออธิบายดังนี้   ในการทำการค้าแบบปกติที่มีหน้าร้านหรือที่ตั้งสำนักงานเป็นอาคารสถานที่จริงๆนั้น   ลูกค้าย่อมเข้าถึงและตรวจสอบตัวตนของผู้ประกอบการได้โดยง่าย   แต่ E-Commerce  นั้นมีกลุ่มลูกค้าได้จากหลายทาง และอาจอยู่ห่างไกลกันมากๆ โดยอาศัยการเชื่อมโยงระบบอินเทอร์เน็ทเข้าด้วนกัน ทำให้ฐานลูกค้ากว้างขึ้น ซึ่งเป็นจุดดีของการการค้าแบบ E-Commerce   แต่ในเวลาเดียวกันสิ่งนี้ก็เป็นจุดด้อยของ E-Commerce   ด้วยเช่นกัน  เนื่องจากขาดความน่าเชื่อถือนั่นเอง  เพราพเหมือนไม่มีตัวตนให้จับต้องได้  ตรงนี้หละครับที่ทะเบียนพาณิชย์เข้ามามีบทบาทและทำให้กิจการของคุณมีความน่าเชื่อถือยิ่งขึ้น  เพราะลูกค้าจะสามารถตรวจสอบการมีตัวตนของ E-Commerce  รายนี้ได้โดยง่ายจากทะเบียนพาณิชย์นั้นเอง    และนอกจากนี้  หาก E-Commerce    รายใดได้จะทะเบียนพาณิชย์ ถูกต้องแล้วก็มีสิทธิ์ที่จะขอรับเครื่องหมาย  DBD Registered     ได้อีกด้วย โดยนำเครื่องหมาย  DBD Registered    มาแสดงในหน้าร้านค้าออนไลน์ของตน เพื่อเป็นการยืนยันตัวบุคคลได้เป็นอย่างดียิ่งขึ้นไปอีก   ซึ่งผมกลับเห็นว่าจะมีความน่าเชื่อถือเสียยิ่งกว่าภาพบัตรประจำตัวประชาชนอีกด้วยครับ 

                การจดทะเบียนพาณิชย์ยากหรือไม่ ?

             วิธีการนั้นง่ายแสนง่ายและสะดวกรวดเร็ว ผู้ประกอบการสามารถดำเนินการได้ด้วยตัวเองครับ       ทั้งนี้ ดูที่ว่าที่ตั้งสำนักงานของท่านตั้งอยู่ที่ใดก็ไปจดที่นั่น เช่น  อยู่ในเขตกรุงเทพมหานครก็ สามารถยื่นขอจดทะเบียนได้ที่ ฝ่ายปกครองสำนักงานเขตท้องที่ หรือ ที่สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง สำนักการคลัง กรุงเทพมหานคร  ส่วนผู้ประกอบการที่อยู่ต่างจังหวัด สามรถยื่นขอจดทะเบียนได้ที่  เทศบาล  องค์การบริหารส่วนตำบล หรือ เมืองพัทยา เป็นต้น 

               กิจการ E-Commerce ที่ต้องจดทะเบียนมีดังนี้ครับ
  1.  กิจการซื้อ/ขายสินค้าหรือให้บริการโดยใช้สื่ออีเล็กทรอนิกส์ ผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ท   เช่น ร้านค้าในเว็บไซต์สื่อกลางการติดต่อซื้อ / ขาย(E-Marketplace)  หรือร้านค้าในสังคมออนไลน์ (Social Media) เป็นต้น
  2. ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ท  ( Internet Service Provider : ISP)
  3. ผู้ให้เช่าพื้นที่ของเครื่องคอมพิวเตอร์แม่ข่าย (Web Hosting)
  4. ผู้ให้บริการตลาดกลางในการซื้อ/ขายสินค้าโดยผ่านระบบอิทเทอร์เน็ท (E-Marketplace) 


          เมื่อผู้ประกอบการ E-Commerce ได้จดทะเบียนพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์แล้ว ก็มีสิทธิยื่นขอรับเครื่องหมาย  DBD Registered ดังที่กล่าวมาแล้ว ทั้งนี้  เพื่อยืนยันการมีตัวตนของผู้ประกอบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ที่ได้จดทะเบียนพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์แล้วนั้นเอง

              เพียงเท่านี้ร้านค้าของท่านก็จะมีความน่าเชื่อถือได้โดยไม่ต้องกังวลว่าจะถูกมิจฉาชีพหลอกลวงได้ง่ายๆอีกต่อไป และที่สำคัญยังเป็นการทำถูกกฎหมายอีกด้วยครับ


ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเรื่อง ทะเบียนพาณิชย์ (บุคลธรรมดา/นิติบุคคล)

ศึกษาข้อมูล การขอรับเครื่องหมาย DBD Registered

              หวังว่าจะเป็นประโยชน์แก่ท่านผู้อ่านไม่มากก็น้อย ซึ่งหากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามเข้ามาได้ และช่วยกันเผยแพร่ให้เป็นความรู้แก่บุคคลทั่วไปครับ

ที่ปรึกษากฎหมาย นิติ ลอว์


#ทนายความ
#ปรึกษากฎหมาย #ซื้อขายออนไลน์

วันพุธที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2559

วิเคราะห์ข้อสงสัย ทำไม บริษัทประกันจึงปฏิเสธการชำระเงินตามกรมธรรม์ประกันชีวิตได้


เรื่องนี้ไม่ต้องเกริ่นกันให้ยืดยาว ปัญหาข้อสงสัยเรื่องการทำประกันชีวิตได้กลับมาเป็นประเด็นสนทนากันในสังคม(ออนไลน์)กันอย่างต่อเนื่อง  วันนี้เรามาลองวิเคราะห์หาสาเหตุกันว่า ทำไม บริษัทประกันต่างๆจึงมีหนังสือบอกล้างกรมธรรม์ประกันชีวิตและชำระเงินเพียงเบี้ยประกันที่ได้ส่งไปแล้วหลังหักค่าใช้จ่าย หรือหนี้สิน (ถ้ามี) คืนให้แก่ผู้เอาประกันหรือทายาท ดังที่เป็นข่าวอยู่นั้น

ก่อนที่จะไปถึงตัวข้อกฎหมายประกันภัย  เรามาทำความเข้าใจกันในเบื้องต้นก่อนว่า  การทำสัญญาประกันชีวิตนั้น ก็คือ การทำนิติกรรมอย่างหนึ่งตามกฎหมาย ซึ่งอยู่ภายใต้กรอบความสมบูรณ์ของนิติกรรมด้วย   กล่าวคือ  การทำนิติกรรมที่จะมีผลบังคับได้สมบูรณ์นั้น นิติกรรมดังกล่าว จะต้องไม่ตกเป็น โมฆะ (สูญเปล่า) หรือ โมฆียะ (ไม่สมบูรณ์) ด้วย   ดังนี้ หากนิติกรรมนั้นตกเป็นโมฆะก็มีผลเท่ากับไม่มีนิติกรรมใดหลงเหลืออยู่เลยเพราะมันสูญเปล่าไปนั่นเอง   ส่วนนิติกรรมที่ตกเป็นโมฆียะนั้นต่างออกไป  คือ  ยังคงมีตัวนิติกรรมหลงเหลืออยู่  หากแต่ยังไม่ถือว่านิติกรรมนั้นสมบูรณ์แล้ว  ซึ่งมีผลทำให้คู่สัญญาสามารถเลือกใช้สิทธิ “บอกล้าง”  คือ  ทำให้เป็นโมฆะ หรือ “ให้สัตยาบัน”  คือ ทำให้นิติกรรมนั้นสมบูรณ์ เสียก็ได้

                 ทีนี้เรามาดูกันว่า  เหตุใดบริษัทประกันจึงไม่ต้องจ่ายเงินตามกรมธรรม์ประกันได้ ?

 
               สืบเนื่องจากการทำประกันชีวิตนั้น เป็นเรื่องสำคัญและมีผลกระทบต่อคู่สัญญาตลอดจนผู้รับผลประโยชน์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอก  กฎหมายจึงกำหนดหลักในการทำสัญญาประกันภัยต่อกันไว้ เพื่อไม่ให้เกิดข้อได้เปรียบเสียเปรียบต่อกัน  โดยมีหลักการว่าในขณะทำสัญญาประกันภัย ผู้เอาประกันภัยก็ดี หรือในกรณีประกันชีวิต บุคคลอันการใช้เงินย่อมอาศัยความทรงชีพหรือมรณะของเขานั้นก็ดี  “รู้อยู่แล้วละเว้นเสียไม่เปิดเผยข้อความจริง”  ซึ่งอาจจะได้จูงใจผู้รับประกันภัยให้เรียกเบี้ยประกันภัยสูงขึ้นอีก หรือ ให้บอกปัดไม่ยอมทำสัญญา หรือว่ารู้อยู่แล้วได้แถลงข้อความนั้น “เป็นความเท็จ”  ซึ่งกฎหมายได้ระบุว่า ให้สัญญาประกันภัย หรือประกันชีวิตนั้น ตกเป็นโมฆียะ  ทั้งนี้ เป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 865  วรรคแรก   ซึ่งจะเห็นได้ว่า กฎหมายได้กำหนดให้เป็นหน้าที่ของผู้ที่จะทำประกันชีวิตว่า “ต้องแจ้งข้อเท็จจริงอันสำคัญ”  ที่อาจทำให้บริษัทประกันจะตัดสินใจเรียกเบี้ยประกันสูงขึ้น หรือ ปฏิเสธไม่ทำสัญญาด้วย  และกฎหมายไม่ได้กำหนดข้อยกเว้นให้ไม่ต้องบอกกล่าวข้อเท็จจริงนี้ไว้  ดังนี้ ถึงแม้ว่าบริษัทประกันจะแจ้งว่า "ไม่ต้องตอบคำถาม" หรือ "จะไม่ถามคำถาม" อันเกี่ยวกับข้อเท็จจริงดังกล่าวก็ตาม  ผู้เอาประกันภัย(คนที่จะทำสัญญาประกันภัย) ก็ยังคงมีหน้าที่ต้องบอกข้อเท็จจริงดังกล่าวอยู่ดี หากละเลยก็จะมีผลทำให้สัญญาตกเป็นโมฆียะ  ซึ่งข้อเท็จจริงที่สำคัญนี้ได้แก่  ข้อเท็จจริงเรื่องปัญหาสุขภาพ หรือความประพฤติเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพได้ เช่น มีโรคประจำตัว  เป็นคนสูบบุหรี่ หรือ ดื่มสุราเป็นประจำ  เป็นต้น

                 จากหลักกฎหมายดังกล่าวจึงบอกได้ว่า ทำไมบริษัทประกันภัยจึงยกเอาการที่ผู้เอาประกันละเลยไม่บอกข้อเท็จจริงเกี่ยวกับปัญหาสุขภาพมาเป็นเหตุในการบอกล้างสัญญาประกันชีวิตได้   โดยในประเด็นนี้หากตกลงกันไม่ได้ก็ต้องไปให้ศาลวินิจฉัยต่อไป โดยผู้เอาประกันภัยหรือทายาทก็ต้องพิสูจน์ให้ศาลเห็นได้ว่า บริษัทประกัน ซึ่งเป็นผู้รับประกันภัยนั้น ทราบเหตุสำคัญดังกล่าวอยู่แต่ต้นแล้วยังคงทำสัญญาประกันภัยด้วย หรือไม่ก็ต้องพิสูจน์ให้เห็นได้ว่า เหตุดังกล่าวไม่ใช่เหตุที่จะจูงใจผู้รับประกันภัยเรียกเบี้ยประกันภัยสูงขึ้นอีก หรือให้บอกปัดไม่ยอมทำสัญญา

...................................................

                 คำถามต่อมาคือ บริษัทประกันจะใช้สิทธิบอกล้างสัญญาได้เมื่อใด ?


                ในประเด็นนี้กฎหมายวางหลักไว้ว่า ถ้าผู้รับประกันภัยไม่ได้ใช้สิทธิบอกล้างภายในหนึ่งเดือนนับแต่วันที่ผู้รับประกันภัยทราบมูลเหตุอันจะบอกล้างได้ หรือไม่ได้ใช้สิทธินั้นภายในกำหนดห้าปีนับแต่วันทำสัญญา  สิทธินั้นเป็นอันระงับสิ้นไป  ทั้งนี้เป็นไปตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 865 วรรคสอง 

                จากข้อกฎหมายดังกล่าว ทำให้สรุปความได้ว่าสิทธิของบริษัทประกันนั้นมีสองระยะ คือ หนึ่งเดือนนับแต่รู้เหตุ ซึ่งถ้าบริษัทประกันละเลยทั้งที่รู้เหตุก็มีผลเท่ากับว่าได้ให้สัตยาบันกับสัญญารายนี้แล้ว  กับอีกกรณีคือ  ภายในห้าปีนับแต่ทำสัญญา ซึ่งในกรณีหลังนี้กฎหมายดูว่าเวลาได้ผ่านมานานถึงห้าปีแล้วผู้เอาประกันก็ยังคงมีชีวิตอยู่ได้ ข้อเท็จที่ปิดบังไว้ดังกล่าวจึงไม่ใช่เหตุสำคัญที่จะยกขึ้นมาเพื่อบอกล้างสำหรับผู้เอาประกันรายนี้ได้อีกต่อไป

...................................................

                 แล้วเช่นนี้ ถ้าในขณะทำสัญญาประกันชีวิตเราได้แจ้งข้อเท็จจริงเรื่องสุขภาพ หรือความประพฤติไม่ดีของตัวเรากับนายหน้าประกันชีวิตแล้ว จะถือว่าผู้รับประกันได้ทราบข้อเท็จจริงอันสำคัญอยู่แล้วหรือไม่ ?

ในเรื่องนี้ เคยเป็นคดีและศาลฎีกาได้ตัดสินไว้แล้วว่า หากตัวแทนดังกล่าวไม่ใช่ตัวแทนของบริษัทประกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ จะถือว่าบริษัทประกันได้ทราบข้อเท็จจริงดังกล่าวด้วยไม่ได้

                ใครคือตัวแทนหรือใครคือนายหน้าประกันชีวิตดูได้อย่างไร ?

ดูได้ตามนี้ครับ 

“ตัวแทนประกันชีวิต”  คือ  ผู้ซึ่งบริษัทมอบหมายให้ทำการชักชวนให้บุคคล “ทำสัญญา” ประกันชีวิตกับบริษัท

“นายหน้าประกันชีวิต” คือ  “ผู้ชี้ช่องหรือจัดการ” ให้บุคคลเข้าทำสัญญาประกันชีวิตกับบริษัท โดยกระทำเพื่อบำเหน็จเนื่องจากการนั้น

                และประเด็นนี้ยังมีหลักกฎหมายต่อไปว่า ตัวแทนประกันชีวิตอาจทำสัญญาประกันชีวิตในนามของบริษัทได้ “เมื่อได้รับหนังสือมอบอำนาจจากบริษัท”  ส่วนนายหน้าประกันชีวิตหรือพนักงานของบริษัทซึ่งมีหน้าที่เกี่ยวกับการรับเงินอาจรับเบี้ยประกันภัยในนามของบริษัทได้ เมื่อได้รับหนังสือมอบอำนาจจากบริษัท     ทั้งนี้เป็นไปตาม พระราชบัญญัติประกันชีวิต พ.ศ.2535 มาตรา 5 และมาตรา 71

               จากข้อกฎหมายดังกล่าวจึงเห็นได้ว่า มีเพียงตัวแทนประกันชีวิตเท่านั้น ที่กฎหมายอนุญาตให้ผู้รับประกันภัย สามารถมอบอำนาจเป็นหนังสือให้ทำสัญญาประกันภัยได้เท่านั้น   ส่วนนายหน้าหรือพนักงานอื่นไม่อาจได้รับมอบอำนาจให้ทำสัญญาประกันภัยได้ตามกฎหมาย  ดังนั้น หากท่านจะทำสัญญาประกันชีวิตและต้องการแจ้งข้อเท็จจริงอันสำคัญดังกล่าวให้มีผลตามกฎหมาย จึงต้องกระทำต่อบริษัทประกันภัยโดยตรง  หรือ  มิเช่นนั้นก็ต้องกระทำต่อตัวแทนประกันชีวิตซึ่งได้รับมอบอำนาจเป็นหนังสือให้ทำสัญญาประกันชีวิตแทนบริษัทได้เท่านั้นจึงจะมีผลตามกฎหมาย  ทั้งนี้ เป็นไปตามแนวคำพิพากษาศาลฎีกาต่อไปนี้ครับ

...................................................

คำพิพากษาศาลฎีกาที่  1333/2551

ช. เป็นตัวแทนในการหาผู้เอาประกันมีหน้าที่ชักชวนให้ผู้อื่นมาทำสัญญาประกันชีวิตกับจำเลย ไม่ใช่ตัวแทนในการทำสัญญาประกันชีวิตของจำเลยตามพระราชบัญญัติประกันชีวิต พ.ศ.2535 มาตรา 5 และมาตรา 71 จึงไม่ใช่ตัวแทนของจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ การที่ ช. ได้ทราบหรือควรจะทราบข้อความจริงขณะทำหนังสือรับรองสุขภาพว่า ส. เคยป่วยเป็นโรคตับอักเสบและมีอาการแน่นหน้าอกเนื่องจากดื่มสุรามากได้รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล จะถือว่าจำเลยได้ทราบความจริงดังกล่าวด้วยหาได้ไม่

         
ส. รู้อยู่ว่าตนเป็นโรคตับอักเสบแต่ละเว้นไม่เปิดเผยข้อความจริงที่อาจจูงใจให้จำเลยปฏิเสธไม่ทำสัญญาหรือเรียกเบี้ยประกันสูงขึ้นย่อมทำให้สัญญาประกันชีวิตระหว่าง ส. กับจำเลยเป็นโมฆียะตาม ป.พ.พ. มาตรา 865 วรรคหนึ่ง

...................................................


                 หวังว่าจะเป็นประโยชน์แก่ท่านผู้อ่านไม่มากก็น้อย ซึ่งหากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามเข้ามาได้ และช่วยกันเผยแพร่ให้เป็นความรู้แก่บุคคลทั่วไปครับ

ที่ปรึกษากฎหมาย นิติ ลอว์

#ปรึกษากฎหมาย  #ประกันชีวิต

วันพฤหัสบดีที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

ข้อควรรู้เมื่อถูกจับลิขสิทธิ์ กรณี เปิดเพลงจาก YouTube.


                ตามที่เป็นข่าวว่าร้านเครื่องดื่มแห่งหนึ่ง เปิดเพลงจาก YouTube. แล้วถูกจับลิขสิทธิ์เพลงนั้น ซึ่งกรณีนี้ท่านคงได้ทราบจากการที่มีนักกฎหมายหลายท่านได้นำคำพิพากษาศาล ฎีกาที่ตัดสินคดีในประเด็นที่ว่า การเปิดเพลงในร้านอาหารโดยไม่เรียกเก็บผลประโยชน์เพิ่มจากราคาปกติไม่ถือ เป็นการละเมิดลิขสิทธิ์เพลงกันอยู่บ้างแล้ว โดยในเรื่องนี้ผมก็เห็นว่าได้มีการเผยแพร่ข้อมูลความรู้นี้ออกไปในสื่อต่างๆ โดยเฉพาะในโลกออนไลน์ก็มีการแชร์ข้อมูลดังกล่าวกันอยู่มาก แต่ก็ยังปรากฏข่าวอยู่ว่ามีตัวแทนของเจ้าของลิขสิทธิ์เข้าเรียกร้องผล ประโยชน์ในเชิงค่าปรับอยู่อีก ซึ่งไม่ถูกต้อง
ในวันนี้ ผมขอนำข้อคิดต่างๆในกรณีนี้มาพูดคุยกันเพื่อให้ทุกฝ่ายได้คำนึงถึงความถูก ต้องของการใช้สิทธิเรียกร้องหรือการใช้สิทธิ์โต้แย้งต่างๆในกรณีเกิดเหตุดัง กล่าวเกิดขึ้นอีก
ประการแรกเรามาทำความเข้าใจถึงคำพิพากษาที่นำมากล่าวถึงเสียก่อน คือ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10579/2551 และ 8220/2553 ซึ่งมีสาระสำคัญดังนี้ครับ
.......................................

               คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10579/2551
โจทก์บรรยายฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 มาตรา 31 ซึ่งบัญญัติว่า “ผู้ใดรู้อยู่แล้วหรือมีเหตุอันควรรู้ว่างานใดได้ทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ ของผู้อื่น กระทำอย่างใดอย่างหนึ่งแก่งานนั้นเพื่อหากำไร ให้ถือว่าผู้นั้นกระทำการละเมิดลิขสิทธิ์...” ความผิดตามบทบัญญัติดังกล่าวจึงต้องเป็นการกระทำแก่งานที่ได้ทำขึ้นโดย ละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้อื่น “เพื่อหากำไร” เท่านั้น แต่ตามที่โจทก์บรรยายฟ้องปรากฏแต่เพียงว่า จำเลยเปิดแผ่นเอ็มพีสามและซีดีเพลงให้ลูกค้าในร้านอาหารได้ร้องและฟังเพลง ของผู้เสียหาย 1 แผ่น “เพื่อประโยชน์ในทางการค้า” ขายอาหารและเครื่องดื่มของจำเลยแต่ไม่ปรากฏในคำฟ้องว่าจำเลยกระทำเพื่อหา กำไรโดยตรงจากการที่ให้ลูกค้าได้ร้องและฟังเพลงโดยเรียกเก็บค่าตอบแทนจาก ลูกค้าในการเปิดเพลงดังกล่าวหรือเรียกเก็บรวมไปกับค่าอาหารและเครื่องดื่ม แต่อย่างใด การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 มาตรา 31 แม้จำเลยให้การรับสารภาพก็ไม่อาจลงโทษจำเลยได้ ตาม พ.ร.บ.จั้ดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณา คดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ.2539 มาตรา 26 ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 185

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8220/2553
“โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยประกอบกิจการค้าขายอาหารตามสั่งและเครื่องดื่ม จำเลยเปิดแผ่นวีซีดีเพลง “กำลังใจที่เธอไม่รู้” อันเป็นลิขสิทธิ์ของผู้เสียหาย ซึ่งได้มีผู้ทำขึ้นหรือดัดแปลงขึ้นให้ลูกค้าในร้านอาหารของจำเลยฟัง ไม่ปรากฏว่าจำเลยเปิดเพลงเพื่อหากำไรโดยตรงจากการที่ให้ลูกค้าฟังเพลงโดยการ เรียกเก็บค่าตอบแทนหรือเรียกเก็บเพิ่มรวมไปกับอาหารและเครื่องดื่มแต่อย่าง ใด การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 มาตรา 31 ประกอบมาตรา 70 วรรคสอง เพราะไม่ครบองค์ประกอบความผิดของบทมาตราดังกล่าว ซึ่งต้องเป็นการกระทำเพื่อหากำไรโดยตรงจากการละเมิดลิขสิทธิ์ แม้จำเลยให้การรับสารภาพก็ไม่อาจลงโทษจำเลยได้ ตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดี ทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ.2539 มาตรา 26 ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 185 วรรคหนึ่ง” 

.......................................

               จากคำพิพากษาทั้งสองเรื่องดังกล่าว จะเห็นได้ถึงหลักสำคัญของความผิดตาม พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 มาตรา 31 ว่า “ต้องเป็นการกระทำเพื่อแสวงหากำไร” ดังนั้น หากท่านเปิดเพลงซึ่งเป็นผลงานอันมีลิขสิทธิ์ในร้านอาหารหรือสถานบริการต่างๆ โดยไม่ได้มีพฤติการณ์แสวงหากำไรจากเพลงดังกล่าว ก็จะไม่มีความผิด แต่ถ้าพิสูจน์ได้ว่าการเปิดเพลงดังกล่าวนั้นกระทำไปเพื่อผลประโยชน์ทางการ ค้าโดยตรงก็จะมีความผิดตามกฎหมาย ซึ่งผมก็มีความเห็นว่าการเปิดเพลงในร้านอาหารจากแผ่น CD หรือการเปิดเพลงจากระบบ YouTube. นั้น ก็คือการเปิดเพลงฟัง ไม่ได้แตกต่างกัน จึงไม่เป็นความผิดถ้าไม่ได้เปิดเพื่อแสวงหากำไร ตามคำวินิจฉัยในคำพิพากษาทั้งสองเรื่องข้างต้น
คงพอเข้าใจกันแล้วนะครับ ว่าการกระทำอย่างไรที่เป็นความผิด ท่านก็อย่าได้พลั้งเผลอไปทำเข้า เพียงเท่านี้ก็ทำมาหากินกันต่อไปได้อย่างสบายใจครับ

           "สิ่งที่ท่านควรรู้เมื่อมีการแสดงตัวกล่าวหาว่าทำละเมิดลิขสิทธิ์"

             สิ่งแรกที่ท่านต้องรู้ คือ ความผิดฐานนี้เป็นความผิดต่อส่วนตัว เป็นเรื่องยอมความได้ เจ้าพนักงานตำรวจไม่มีอำนาจในการเข้าตรวจสอบและจับกุมดำเนินคดีได้เลยหาก เจ้าของลิขสิทธิ์ไม่แจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษเอากับท่าน และหากไม่ใช่ตัวเจ้าของลิขสิทธิ์มาดำเนินการด้วยตนเอง ก็จะต้องมีหนังสือมอบอำนาจอย่างถูกต้องมาประกอบการใช้สิทธิ์ของตัวแทนด้วย
ดังนั้น เมื่อตัวแทนลิขสิทธิ์มาแสดงตนต่อหน้าท่าน ท่านมีสิทธิโดยชอบที่จะเรียกให้ตัวแทนแสดงหนังสือมอบอำนาจฉบับจริงออกมา และตรวจสอบหนังสือมอบอำนาจกลับไปยังเจ้าของลิขสิทธิ์เสียก่อนได้ หากตัวแทนไม่แสดงหนังสือดังกล่าว ท่านสามารถอ้างเหตุนี้ปฏิเสธไม่ให้ความร่วมมือได้ เนื่องจากไม่แน่ชัดว่าเป็นผู้ได้รับมอบอำนาจที่ถูกต้องหรือไม่
            ประการต่อมา หากเจ้าของลิขสิทธิ์หรือตัวแทนได้แจ้งความดำเนินคดีกับพนักงานสอบสวนแล้วแต่ไม่ปรากฏว่ามีการกระทำความผิดซึ่งหน้าหรือเหตุอื่นตามที่ระบุใน ป.วิ.อ. มาตรา ๗๘ เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่มีอำนาจจับกุมตัวผู้ต้องหาทันทีได้ หากจะสอบสวนก็ต้องออกหมายเรียกเสียก่อน เว้นแต่เป็นกรณีพนักงานสอบสวนหรือพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจชั้นผู้ใหญ่ เป็นผู้ทำการสอบสวนด้วยตนเอง ซึ่งไม่จำเป็นต้องออกหมายเรียกก็ได้ และที่สำคัญ ก่อนที่จะให้การ ผู้ต้องหามีสิทธิ์โดยชอบที่จะขอพบทนายความเพื่อปรึกษากันเป็นการส่วนตัวได้
.......................................


ป.วิ.อ. มาตรา ๗๘ พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจจะจับผู้ใดโดยไม่มีหมายจับหรือคำสั่งของศาลนั้นไม่ได้ เว้นแต่
(๑) เมื่อบุคคลนั้นได้กระทำความผิดซึ่งหน้าดังได้บัญญัติไว้ในมาตรา ๘๐
(๒) เมื่อพบบุคคลโดยมีพฤติการณ์อันควรสงสัยว่าผู้นั้นน่าจะก่อเหตุร้ายให้เกิด ภยันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สินของผู้อื่นโดยมีเครื่องมือ อาวุธ หรือวัตถุอย่างอื่นอันสามารถอาจใช้ในการกระทำความผิด
(๓) เมื่อมีเหตุที่จะออกหมายจับบุคคลนั้นตามมาตรา ๖๖ (๒) แต่มีความจำเป็นเร่งด่วนที่ไม่อาจขอให้ศาลออกหมายจับบุคคลนั้นได้
(๔) เป็นการจับผู้ต้องหาหรือจำเลยที่หนีหรือจะหลบหนีในระหว่างถูกปล่อยชั่วคราวตามมาตรา ๑๑๗
.......................................
 
               เท่านี้คงพอเห็นภาพกันแล้วนะครับว่าทั้งสองฝ่ายมีสิทธิอย่างไร ก็ขอให้ใช้สิทธิ์กันอย่างเหมาะสม โดยเฉพาะ หากรู้อยู่แล้วว่าการเปิดเพลงโดยไม่แสวงหากำไรนั้นไม่มีความผิด ดังนั้น การไปตั้งสิทธิเรียกร้องต่างๆก็จะเป็นเรื่องที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และหากมีการใช้กำลังประทุษร้าย หรือโดยขู่เข็ญว่าจะทำอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพย์สิน และเจ้าของร้านค้ายินยอมจ่ายเงินหรือให้ผลประโยชน์ไป ผมเห็นว่า ผู้ที่ทำเช่นนั้นอาจมีความผิดฐานกรรโชกทรัพย์ได้
......................................
 
หมายเหตุ
การใช้อำนาจบังคับกดดันเพื่อให้ไปโรงพักโดยไม่มีสิทธิตามกฎหมายก็เป็นการทำ ให้เสื่อมเสียซึ่งเสรีภาพอยู่ในตัว ในทางกลับกัน การพูดคุยให้ยอมไปโรงพักด้วยความสมัครใจเองไม่เป็นการทำให้เสื่อมเสีย เสรีภาพ
......................................

หวังว่าจะเป็นประโยชน์แก่ท่านผู้อ่านไม่มากก็น้อย ซึ่งหากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามเข้ามาได้ และช่วยกันเผยแพร่ให้เป็นความรู้แก่บุคคลทั่วไปครับ



ที่ปรึกษากฎหมาย นิติ ลอว์
 

#‎ปรึกษากฎหมาย‬ ‪#‎ลิขสิทธิ์‬

วันเสาร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

สิทธิ์การรับมรดกของคู่สมรส

               ท่านทราบหรือไม่ว่าคู่สมรสนั้นกฎหมายกำหนดให้มีสิทธิ์รับมรดกของคู่สมรสอีก ฝ่ายด้วยและในแต่ละเงื่อนไขก็จะได้รับไม่เท่ากัน เช่น กรณี มีลูกด้วยกัน คู่สมรสมีสิทธิ์ได้รับมรดกหนึ่งส่วนเท่ากับบุตรที่เป็นทายาท แต่หากกรณีไม่มีลูกด้วยกันหละสิทธิการรับมรดกของคู่สมรสจะเหมือนกันต่างกัน อย่างไร มาลองหาคำตอบกันต่อไปทางนี้ครับ 

                อย่างที่กล่าวมาแล้วสิทธิการรับมรดกของคู่สมรส นั้น เป็นสิทธิ์ตามกฎหมาย ซึ่งมอบให้แต่เฉพาะคู่สมรส ซึ่งก็คือ ต้องมีการจดทะเบียนสมรสกันโดยชอบด้วยกฎหมาย และการสมรสนั้นยังคงอยู่ในขณะที่คู่สมรสอีกฝ่ายถึงแก่ความตาย ดังนี้ ก็จะเข้าเงื่อนไขได้รับมรดกของคู่สมรสอีกฝ่ายที่ถึงแก่กรรมไปก่อน ซึ่งมีหลักพิจารณาเป็นขั้นตอนๆไป โดยท่านต้องทำความเข้าใจกับลำดับของทายาทในการรับมรดกเสียก่อน ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้

                                                                                                   ทายาทโดยธรรมมี ๖ ลำดับเท่านั้น (มาตรา ๑๖๒๙) คือ 

(๑) ผู้สืบสันดาน
(๒) บิดามารดา
(๓) พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน
(๔) พี่น้องร่วมบิดาหรือร่วมมารดาเดียวกัน
(๕) ปู่ ย่า ตา ยาย
(๖) ลุง ป้า น้า อา
ส่วนคู่สมรสที่ยังมีชีวิตอยู่นั้นก็เป็นทายาทโดยธรรม ภายใต้บังคับของบทบัญญัติพิเศษแห่งมาตรา ๑๖๓๕

***ที่นี้เรามาดูการแบ่งสัดส่วนมรดกให้แก่คู่สมรสในกรณีต่างๆกัน
ลำดับและส่วนแบ่งของคู่สมรสที่ยังมีชีวิตอยู่ในการรับมรดกของผู้ตายนั้น ให้เป็นไปดังต่อไปนี้(ตามมาตรา ๑๖๓๕)

(๑) ถ้ามีผู้สืบสันดานซึ่งยังมีชีวิตอยู่หรือมีผู้รับมรดกแทนที่ แล้วแต่กรณี คู่สมรสที่ยังมีชีวิตอยู่นั้น มีสิทธิได้ส่วนแบ่งเสมือนหนึ่งว่าตนเป็นทายาทชั้นบุตร (แบ่งคนละส่วนเท่าๆกัน)

(๒) ถ้ามีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันและทายาทนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือมีผู้รับ มรดกแทนที่ หรือถ้าไม่มีผู้สืบสันดาน แต่มีบิดามารดาของเจ้ามรดกอยู่แล้วแต่กรณี คู่สมรสที่ยังมีชีวิตอยู่นั้นมีสิทธิได้รับมรดกกึ่งหนึ่ง

(๓) ถ้ามีพี่น้องร่วมบิดาหรือร่วมมารดาเดียวกัน หรือ ลุง ป้า น้า อา และทายาทนั้นยังมีชีวิตอยู่ หรือมีผู้รับมรดกแทนที่ หรือมีปู่ ย่า ตา ยาย แล้วแต่กรณี คู่สมรสที่ยังมีชีวิตอยู่ มีสิทธิได้มรดกสองส่วนในสาม

(๔) ถ้าไม่มีทายาทอื่นอยู่เลย ให้คู่สมรสที่ยังมีชีวิตอยู่นั้นมีสิทธิได้รับมรดกทั้งหมด

                จะเห็นได้ว่านับจากกรณีแรกมาคู่สมรสก็จะได้สิทธิรับส่วนมรดกของอีกฝ่ายเพิ่ม มากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งส่วนของทรัพย์สินที่ได้นี้เฉพาะที่เป็นมรดกเท่านั้น หากกรณีทรัพย์สินใดเป็นสินสมรสแต่ใส่ชื่อคู่สมรสฝ่ายหนึ่งไว้เพียงคนเดียว คู่สมรสที่ยังคงมีชีวิตอยู่ก็สามารถเรียกให้แบ่งทรัพย์สินนั้นให้แก่ตนครึ่ง หนึ่งก่อนแบ่งมรดกเนื่องจากการเป็นสินสมรสนั่นเอง ส่วนคู่สามีภรรยาที่อยู่กินกันโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรสนั้นไม่อยู่ในเงื่อนไข การรับมรดกดังที่ผมกล่าวมาข้างบนนี้ แต่บางกรณีอาจเรียกขอแบ่งทรัพย์เป็นของตนได้ในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมครับ

                หวังว่าจะเป็นประโยชน์แก่ท่านผู้อ่านไม่มากก็น้อย ซึ่งหากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามเข้ามาได้ และช่วยกันเผยแพร่ให้เป็นความรู้แก่บุคคลทั่วไปครับ

ที่ปรึกษากฎหมาย นิติ ลอว์

‪#‎ปรึกษากฎหมาย‬ ‪#‎มรดก‬

วันอังคารที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

ร้านค้าออนไลน์ ส่งสินค้าแล้วลูกค้าไม่ชำระเงิน ดำเนินคดีอะไรได้บ้าง ?


             วันนี้ผมจะพูดถึงเรื่อง การขายสินค้า โดยเน้นเรื่องการส่งสินค้าให้แก่ผู้ซื้อก่อนมีการชำระเงิน เน้นว่าร้านค้าออนไลน์ ตั้งใจอ่านให้ดี เพราะปัญหาตามหัวข้อนี้ ติดอันดับต้นๆของคำถามที่เข้ามาเลยก็ว่าได้ครับ

                 เริ่มที่กรรมสิทธิ์ของตัวสินค้ากันก่อนครับ

                 กรรมสิทธิ์ คือ ความเป็นเจ้าของตัวทรัพย์สินต่างๆ ว่าเป็นของใครและทำให้ผู้เป็นเจ้าของมีสิทธิต่างๆในตัวทรัพย์นั้น เช่น
 
- ครอบครองและยึดถือทรัพย์สินนั้น
- มีสิทธิใช้สอย และ ได้ซึ่งดอกผลแห่งทรัพย์สิน 
  นั้น
- มีสิทธิที่จะจำหน่าย หรือ โอนทรัพย์สินนั้น
- มีสิทธิติดตามเอาทรัพย์สินคืนจากบุคคลผู้ไม่มี    
  สิทธิจะยึดถือไว้
- มีสิทธิขัดขวางมิให้ผู้อื่นสอดเข้าเกี่ยวข้องกับ
  ทรัพย์สินนั้นโดยมิชอบด้วยกฎหมาย


               สินค้าที่ขายกันส่วนใหญ่ ชนิดที่สามารถเคลื่อนย้ายได้นั้นไม่ว่าจะเป็น เสื้อผ้า เครื่องใช้สอย โทรศัพท์ อุปกรณ์เครื่องมือต่างๆ รถเก๋ง รถกระบะ รถจักรยานยนต์ ตลอดจนถึง ตั๋วภาพยนตร์ บัตรชมคอนเสิร์ต เป็นต้น เหล่านี้ทางกฎหมายถือเป็น “สังหาริมทรัพย์” ซึ่งเป็นทรัพย์สินประเภทหนึ่ง และในบทความนี้ผมจะกล่าวถึงแต่ทรัพย์สินประเภทนี้เท่านั้นครับ
แต่เดิม การซื้อขายแบบออนไลน์ จะนิยมให้ผู้ซื้อชำระเงินให้ก่อนไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนจึงจะส่งมอบสินค้า ไปให้ แต่เนื่องจากบางครั้งมีมิจฉาชีพแอบแฝงมาหลอกลวงจนทำให้เกิดความไม่เชื่อมั่น จากผู้ซื้อประการหนึ่ง และในปัจจุบันมีการแข่งขันมากขึ้นของผู้ขายสินค้าออนไลน์ทั้งหน้าใหม่และ หน้าเก่า ทำให้ผู้ซื้อเริ่มต่อรองให้มีการส่งสินค้าไปให้ก่อนเพื่อพิจารณาตรวจสอบความ ถูกต้องแล้วถึงจะโอนเงินมาให้ แต่บางครั้งการขายก็ไม่ได้เงินกลับมาเพราะผู้ซื้อบางคนผิดนัด ซึ่งหากพอจะทวงถามติดตามเอาค่าสินค้ากลับมาได้บ้างหรือทั้งหมดก็ดีไป ถ้าทวงไม่ได้ก็ขาดทุนไป ถ้านานๆเจอแบบนี้สักครั้งหนึ่งผมเชื่อว่าผู้ขายก็คงพอทำใจรับความเสี่ยงนี้ ได้ แต่ถ้าต้องเจอบ่อยๆก็ไม่ไหวเช่นเดียวกัน และปัญหาดังกล่าวยังคงพบได้อยู่บ่อยครั้ง จึงทำให้การซื้อขายสินค้าแบบออนไลน์ ของผู้ค้ารายย่อยที่ไม่สามารถลงทุนเพื่อสร้างระบบการส่งสินค้าและการชำระ เงินที่ครอบคลุมได้ ไม่พัฒนาอย่างที่ควรจะเป็นเสียที เพราะเหตุขาดความน่าเชื่อถือนั่นเอง

                   แล้วทีนี้จะจัดการอย่างไรได้บ้าง ?

                สิ่งแรกที่ผมจะแนะนำผู้มาปรึกษา คือ การวางระบบให้รัดกุม ซึ่งในประเด็นนี้มีรายละเอียดอยู่มากผมจึงขอละไว้ก่อนครับ แต่เรามาดูทางแก้ไขในเชิงข้อกฎหมายกันว่า จะใช้สิทธิ์ทางศาลในคดีประเภทใดได้บ้าง ซึ่งในการซื้อขายสินค้าที่ตกลงซื้อสินค้าในจำนวนและราคาแน่ชัดแล้วนั้น เป็นเรื่องสัญญาทางแพ่ง เมื่อผู้ขายส่งสินค้าให้แก่ผู้ซื้อไปแล้วไม่ได้รับชำระเงินตามที่ตกลงกันไม่ ว่าทั้งหมดหรือแต่บางส่วนก็ตาม ท่านสามารถใช้สิทธิ์ฟ้องดำเนินคดีแพ่งเพื่อเรียกเอาค่าสินค้าพร้อมดอกเบี้ย ผิดนัดร้อยละ ๗.๕ ต่อปี จากค่าสินค้าค้างชำระได้ ไม่ว่าค่าสินค้านั้นจะมากหรือน้อยก็ตาม แต่จะไปแจ้งความว่าถูกโกง ถูกยักยอก หรือลักทรัพย์ เป็นคดีอาญานั้นไม่ได้ เพราะเป็นเพียงเรื่องผิดสัญญาทางแพ่งเท่านั้น (เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าผู้ซื้อตั้งใจจะไม่ชำระเงินมาตั้งแต่ต้น) สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะคำว่า “กรรมสิทธิ์” นั่นเอง

               เมื่อมีการตกลงซื้อขายสินค้าระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายโดยกำหนดตัวสินค้าและ ราคาแน่ชัดแล้ว(ไม่รวมการจอง) การซื้อขายนี้เสร็จสมบูรณ์ตามกฎหมาย กรรมสิทธิ์ในตัวสินค้าโอนไปยังผู้ซื้อโดยทันที ผู้ขายมีหน้าที่ต้องส่งมอบสินค้าให้แก่ผู้ซื้อ และในทางกลับกันผู้ซื้อมีหน้าที่ต้องชำระค่าสินค้าให้แก่ผู้ขาย ใครไม่ปฏิบัติให้ถูกหน้าที่ของตนถือว่าผิดสัญญาซื้อขาย อีกฝ่ายฟ้องบังคับให้ปฏิบัติตามสัญญาได้
มาถึงตรงนี้ท่านพอจะมองภาพออกหรือไม่ครับว่าทำไม่ถึงไม่มีความผิดทางอาญา ที่ไม่ผิดก็เพราะกรรมสิทธิ์นั้นได้โอนไปเป็นของผู้ซื้อแล้วนั่นเอง ผู้ซื้อมีสิทธิต่างๆดังที่ได้กล่าวไว้แล้วข้างต้นในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์ ไม่ว่าจะนำไปใช้ นำไปขายต่อ นำไปให้เช่า ฯ ก็ทำได้ทั้งสิ้น แต่ถ้าเป็นการตกลงซื้อขายสินค้ากันแบบมีเงื่อนไข ทั้งแบบโดยตรงหรือโดยปริยายจนทำให้กรรมสิทธิ์ยังไม่โอนไปแก่ผู้ซื้อในทันที เช่น การส่งสินค้าไปให้เป็นตัวอย่างแบบต้องส่งกลับ หรือส่งไปเพื่อการพิจารณาเสียก่อนจึงค่อยตกลงว่าจะซื้อหรือไม่ เช่นนี้ หากยังไม่มีการตอบตกลงรับซื้อสินค้าตามคำเสนอขาย ลำพังเพียงการส่งมอบสินค้าไปยังไม่ทำให้กรรมสิทธิ์ในตัวสินค้าโอนไปให้แก่ ผู้ซื้อ หากผู้ซื้อเอาสินค้าไปใช้โดยไม่ชำระเงิน หรือขายให้ผู้อื่นไป ก็จะมีความผิดทางอาญาฐานยักยอกทรัพย์ได้เช่นกัน ถ้ากรณีเป็นเช่นนี้ นอกจากผู้ขายจะใช้สิทธิ์ทางแพ่งเพื่อเรียกเอาสินค้าคืนหรือใช้ราคาได้แล้ว ยังแจ้งความดำเนินคดีทางอาญาได้อีกด้วยครับ


               หวังว่าจะเป็นประโยชน์แก่ท่านผู้อ่านไม่มากก็น้อย ซึ่งหากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามเข้ามาได้ และช่วยกันเผยแพร่ให้เป็นความรู้แก่บุคคลทั่วไปครับ


ที่ปรึกษากฎหมาย นิติ ลอว์   Twitter@niti_law

‪#‎ปรึกษากฎหมาย‬ ‪#‎ซื้อขาย‬