วันพุธที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2559

วิเคราะห์ข้อสงสัย ทำไม บริษัทประกันจึงปฏิเสธการชำระเงินตามกรมธรรม์ประกันชีวิตได้


เรื่องนี้ไม่ต้องเกริ่นกันให้ยืดยาว ปัญหาข้อสงสัยเรื่องการทำประกันชีวิตได้กลับมาเป็นประเด็นสนทนากันในสังคม(ออนไลน์)กันอย่างต่อเนื่อง  วันนี้เรามาลองวิเคราะห์หาสาเหตุกันว่า ทำไม บริษัทประกันต่างๆจึงมีหนังสือบอกล้างกรมธรรม์ประกันชีวิตและชำระเงินเพียงเบี้ยประกันที่ได้ส่งไปแล้วหลังหักค่าใช้จ่าย หรือหนี้สิน (ถ้ามี) คืนให้แก่ผู้เอาประกันหรือทายาท ดังที่เป็นข่าวอยู่นั้น

ก่อนที่จะไปถึงตัวข้อกฎหมายประกันภัย  เรามาทำความเข้าใจกันในเบื้องต้นก่อนว่า  การทำสัญญาประกันชีวิตนั้น ก็คือ การทำนิติกรรมอย่างหนึ่งตามกฎหมาย ซึ่งอยู่ภายใต้กรอบความสมบูรณ์ของนิติกรรมด้วย   กล่าวคือ  การทำนิติกรรมที่จะมีผลบังคับได้สมบูรณ์นั้น นิติกรรมดังกล่าว จะต้องไม่ตกเป็น โมฆะ (สูญเปล่า) หรือ โมฆียะ (ไม่สมบูรณ์) ด้วย   ดังนี้ หากนิติกรรมนั้นตกเป็นโมฆะก็มีผลเท่ากับไม่มีนิติกรรมใดหลงเหลืออยู่เลยเพราะมันสูญเปล่าไปนั่นเอง   ส่วนนิติกรรมที่ตกเป็นโมฆียะนั้นต่างออกไป  คือ  ยังคงมีตัวนิติกรรมหลงเหลืออยู่  หากแต่ยังไม่ถือว่านิติกรรมนั้นสมบูรณ์แล้ว  ซึ่งมีผลทำให้คู่สัญญาสามารถเลือกใช้สิทธิ “บอกล้าง”  คือ  ทำให้เป็นโมฆะ หรือ “ให้สัตยาบัน”  คือ ทำให้นิติกรรมนั้นสมบูรณ์ เสียก็ได้

                 ทีนี้เรามาดูกันว่า  เหตุใดบริษัทประกันจึงไม่ต้องจ่ายเงินตามกรมธรรม์ประกันได้ ?

 
               สืบเนื่องจากการทำประกันชีวิตนั้น เป็นเรื่องสำคัญและมีผลกระทบต่อคู่สัญญาตลอดจนผู้รับผลประโยชน์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอก  กฎหมายจึงกำหนดหลักในการทำสัญญาประกันภัยต่อกันไว้ เพื่อไม่ให้เกิดข้อได้เปรียบเสียเปรียบต่อกัน  โดยมีหลักการว่าในขณะทำสัญญาประกันภัย ผู้เอาประกันภัยก็ดี หรือในกรณีประกันชีวิต บุคคลอันการใช้เงินย่อมอาศัยความทรงชีพหรือมรณะของเขานั้นก็ดี  “รู้อยู่แล้วละเว้นเสียไม่เปิดเผยข้อความจริง”  ซึ่งอาจจะได้จูงใจผู้รับประกันภัยให้เรียกเบี้ยประกันภัยสูงขึ้นอีก หรือ ให้บอกปัดไม่ยอมทำสัญญา หรือว่ารู้อยู่แล้วได้แถลงข้อความนั้น “เป็นความเท็จ”  ซึ่งกฎหมายได้ระบุว่า ให้สัญญาประกันภัย หรือประกันชีวิตนั้น ตกเป็นโมฆียะ  ทั้งนี้ เป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 865  วรรคแรก   ซึ่งจะเห็นได้ว่า กฎหมายได้กำหนดให้เป็นหน้าที่ของผู้ที่จะทำประกันชีวิตว่า “ต้องแจ้งข้อเท็จจริงอันสำคัญ”  ที่อาจทำให้บริษัทประกันจะตัดสินใจเรียกเบี้ยประกันสูงขึ้น หรือ ปฏิเสธไม่ทำสัญญาด้วย  และกฎหมายไม่ได้กำหนดข้อยกเว้นให้ไม่ต้องบอกกล่าวข้อเท็จจริงนี้ไว้  ดังนี้ ถึงแม้ว่าบริษัทประกันจะแจ้งว่า "ไม่ต้องตอบคำถาม" หรือ "จะไม่ถามคำถาม" อันเกี่ยวกับข้อเท็จจริงดังกล่าวก็ตาม  ผู้เอาประกันภัย(คนที่จะทำสัญญาประกันภัย) ก็ยังคงมีหน้าที่ต้องบอกข้อเท็จจริงดังกล่าวอยู่ดี หากละเลยก็จะมีผลทำให้สัญญาตกเป็นโมฆียะ  ซึ่งข้อเท็จจริงที่สำคัญนี้ได้แก่  ข้อเท็จจริงเรื่องปัญหาสุขภาพ หรือความประพฤติเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพได้ เช่น มีโรคประจำตัว  เป็นคนสูบบุหรี่ หรือ ดื่มสุราเป็นประจำ  เป็นต้น

                 จากหลักกฎหมายดังกล่าวจึงบอกได้ว่า ทำไมบริษัทประกันภัยจึงยกเอาการที่ผู้เอาประกันละเลยไม่บอกข้อเท็จจริงเกี่ยวกับปัญหาสุขภาพมาเป็นเหตุในการบอกล้างสัญญาประกันชีวิตได้   โดยในประเด็นนี้หากตกลงกันไม่ได้ก็ต้องไปให้ศาลวินิจฉัยต่อไป โดยผู้เอาประกันภัยหรือทายาทก็ต้องพิสูจน์ให้ศาลเห็นได้ว่า บริษัทประกัน ซึ่งเป็นผู้รับประกันภัยนั้น ทราบเหตุสำคัญดังกล่าวอยู่แต่ต้นแล้วยังคงทำสัญญาประกันภัยด้วย หรือไม่ก็ต้องพิสูจน์ให้เห็นได้ว่า เหตุดังกล่าวไม่ใช่เหตุที่จะจูงใจผู้รับประกันภัยเรียกเบี้ยประกันภัยสูงขึ้นอีก หรือให้บอกปัดไม่ยอมทำสัญญา

...................................................

                 คำถามต่อมาคือ บริษัทประกันจะใช้สิทธิบอกล้างสัญญาได้เมื่อใด ?


                ในประเด็นนี้กฎหมายวางหลักไว้ว่า ถ้าผู้รับประกันภัยไม่ได้ใช้สิทธิบอกล้างภายในหนึ่งเดือนนับแต่วันที่ผู้รับประกันภัยทราบมูลเหตุอันจะบอกล้างได้ หรือไม่ได้ใช้สิทธินั้นภายในกำหนดห้าปีนับแต่วันทำสัญญา  สิทธินั้นเป็นอันระงับสิ้นไป  ทั้งนี้เป็นไปตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 865 วรรคสอง 

                จากข้อกฎหมายดังกล่าว ทำให้สรุปความได้ว่าสิทธิของบริษัทประกันนั้นมีสองระยะ คือ หนึ่งเดือนนับแต่รู้เหตุ ซึ่งถ้าบริษัทประกันละเลยทั้งที่รู้เหตุก็มีผลเท่ากับว่าได้ให้สัตยาบันกับสัญญารายนี้แล้ว  กับอีกกรณีคือ  ภายในห้าปีนับแต่ทำสัญญา ซึ่งในกรณีหลังนี้กฎหมายดูว่าเวลาได้ผ่านมานานถึงห้าปีแล้วผู้เอาประกันก็ยังคงมีชีวิตอยู่ได้ ข้อเท็จที่ปิดบังไว้ดังกล่าวจึงไม่ใช่เหตุสำคัญที่จะยกขึ้นมาเพื่อบอกล้างสำหรับผู้เอาประกันรายนี้ได้อีกต่อไป

...................................................

                 แล้วเช่นนี้ ถ้าในขณะทำสัญญาประกันชีวิตเราได้แจ้งข้อเท็จจริงเรื่องสุขภาพ หรือความประพฤติไม่ดีของตัวเรากับนายหน้าประกันชีวิตแล้ว จะถือว่าผู้รับประกันได้ทราบข้อเท็จจริงอันสำคัญอยู่แล้วหรือไม่ ?

ในเรื่องนี้ เคยเป็นคดีและศาลฎีกาได้ตัดสินไว้แล้วว่า หากตัวแทนดังกล่าวไม่ใช่ตัวแทนของบริษัทประกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ จะถือว่าบริษัทประกันได้ทราบข้อเท็จจริงดังกล่าวด้วยไม่ได้

                ใครคือตัวแทนหรือใครคือนายหน้าประกันชีวิตดูได้อย่างไร ?

ดูได้ตามนี้ครับ 

“ตัวแทนประกันชีวิต”  คือ  ผู้ซึ่งบริษัทมอบหมายให้ทำการชักชวนให้บุคคล “ทำสัญญา” ประกันชีวิตกับบริษัท

“นายหน้าประกันชีวิต” คือ  “ผู้ชี้ช่องหรือจัดการ” ให้บุคคลเข้าทำสัญญาประกันชีวิตกับบริษัท โดยกระทำเพื่อบำเหน็จเนื่องจากการนั้น

                และประเด็นนี้ยังมีหลักกฎหมายต่อไปว่า ตัวแทนประกันชีวิตอาจทำสัญญาประกันชีวิตในนามของบริษัทได้ “เมื่อได้รับหนังสือมอบอำนาจจากบริษัท”  ส่วนนายหน้าประกันชีวิตหรือพนักงานของบริษัทซึ่งมีหน้าที่เกี่ยวกับการรับเงินอาจรับเบี้ยประกันภัยในนามของบริษัทได้ เมื่อได้รับหนังสือมอบอำนาจจากบริษัท     ทั้งนี้เป็นไปตาม พระราชบัญญัติประกันชีวิต พ.ศ.2535 มาตรา 5 และมาตรา 71

               จากข้อกฎหมายดังกล่าวจึงเห็นได้ว่า มีเพียงตัวแทนประกันชีวิตเท่านั้น ที่กฎหมายอนุญาตให้ผู้รับประกันภัย สามารถมอบอำนาจเป็นหนังสือให้ทำสัญญาประกันภัยได้เท่านั้น   ส่วนนายหน้าหรือพนักงานอื่นไม่อาจได้รับมอบอำนาจให้ทำสัญญาประกันภัยได้ตามกฎหมาย  ดังนั้น หากท่านจะทำสัญญาประกันชีวิตและต้องการแจ้งข้อเท็จจริงอันสำคัญดังกล่าวให้มีผลตามกฎหมาย จึงต้องกระทำต่อบริษัทประกันภัยโดยตรง  หรือ  มิเช่นนั้นก็ต้องกระทำต่อตัวแทนประกันชีวิตซึ่งได้รับมอบอำนาจเป็นหนังสือให้ทำสัญญาประกันชีวิตแทนบริษัทได้เท่านั้นจึงจะมีผลตามกฎหมาย  ทั้งนี้ เป็นไปตามแนวคำพิพากษาศาลฎีกาต่อไปนี้ครับ

...................................................

คำพิพากษาศาลฎีกาที่  1333/2551

ช. เป็นตัวแทนในการหาผู้เอาประกันมีหน้าที่ชักชวนให้ผู้อื่นมาทำสัญญาประกันชีวิตกับจำเลย ไม่ใช่ตัวแทนในการทำสัญญาประกันชีวิตของจำเลยตามพระราชบัญญัติประกันชีวิต พ.ศ.2535 มาตรา 5 และมาตรา 71 จึงไม่ใช่ตัวแทนของจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ การที่ ช. ได้ทราบหรือควรจะทราบข้อความจริงขณะทำหนังสือรับรองสุขภาพว่า ส. เคยป่วยเป็นโรคตับอักเสบและมีอาการแน่นหน้าอกเนื่องจากดื่มสุรามากได้รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล จะถือว่าจำเลยได้ทราบความจริงดังกล่าวด้วยหาได้ไม่

         
ส. รู้อยู่ว่าตนเป็นโรคตับอักเสบแต่ละเว้นไม่เปิดเผยข้อความจริงที่อาจจูงใจให้จำเลยปฏิเสธไม่ทำสัญญาหรือเรียกเบี้ยประกันสูงขึ้นย่อมทำให้สัญญาประกันชีวิตระหว่าง ส. กับจำเลยเป็นโมฆียะตาม ป.พ.พ. มาตรา 865 วรรคหนึ่ง

...................................................


                 หวังว่าจะเป็นประโยชน์แก่ท่านผู้อ่านไม่มากก็น้อย ซึ่งหากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามเข้ามาได้ และช่วยกันเผยแพร่ให้เป็นความรู้แก่บุคคลทั่วไปครับ

ที่ปรึกษากฎหมาย นิติ ลอว์

#ปรึกษากฎหมาย  #ประกันชีวิต

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น