วันอาทิตย์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2559

ค้าขายออนไลน์ (E-Commerce) สร้างความน่าเชื่อถือได้ง่ายๆโดยไม่ต้องแสดงบัตรประชาชน


   จบไปด้วยดีกับกรณีพ่อค้าประดับยนต์ที่ถูกมิจฉาชีพหลอกให้ส่งมอบภาพถ่ายสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนและนำไปสู่การฉ้อฉลต่างๆ จนเป็นเหตุให้เงินในบัญชีของเขาต้องสูญไป  โดยกว่าที่ทางธนาคารจะตกลงยอมคืนเงินให้ก็ต้องมีการป่าวประกาศไปยังที่ต่างๆจนเกิดแรงกระเพิ่มของสังคมมากดดันให้ทางธนาคารต้องออกมารับผิดชอบ ซึ่งเท่าทราบกรณีของพ่อค้ารายนี้นั้นไม่ใช่กรณีแรก และเรื่องแบบนี้ก็ยังคงเกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง 




             ที่นี้เรามาลองค่อยๆคิดดูกันว่า อะไรคือสาเหตุที่มิจฉาชีพมองเห็นช่องทางทำกิน(บนหลังคนดี)

             ในเบื้องต้นเราเห็นแล้วว่า คนร้ายแฝงตัวทำทีโทรมาคุยเพื่อขอซื้อสินค้า  ซึ่งเราก็พ่อค้าธรรมดาๆ อยากขายสิ้นค้าออกไป จึงเจรจาเรื่องการซื้อขายกัน  จากนั้นคนร้ายก็ให้ยืนยันตัวบุคคล โดยวิธีการส่งสำเนาบัตรประชาชนไปให้ ซึ่งเป็นวิธีที่นิยมทำกัน คนร้ายจึงได้รับสำเนาเอกสารประจำตัวของเราไปในขั้นตอนนี้เอง  แล้วก็ไปใช้ช่องทางต่างๆจนได้เงินจากบัญชีธนาคารของพ่อค้ารายนี้ไปจำนวนมาก

                 จุดผิดพลาดอยู่ตรงไหนครับ ? 

               จุดผิดพลาดอยู่ที่ การส่งมอบสำเนา(ภาพถ่าย)บัตรประจำตัวประชาชนนั้นเอง  ซึ่งวิธีนี้ ผมได้แนะนำผู้ประกอบการออนไลน์ที่ผมดูแลอยู่ว่า"ห้ามทำเด็ดขาด" เพราะอาจตกไปเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพได้ง่ายๆ   ซึ่งแน่นอนครับว่า เมื่อที่ปรึกษากฎหมายบอกว่าไม่ควรทำ ย่อมมีคำถามตามกลับมาเสมอว่า  “ถ้าเช่นนั้นจะทำอย่างไรให้ลูกค้าเชื่อถือได้และปลอดภัยไม่เสี่ยงถูกหลอกลวง”  

               "วิธีในเบื้องต้นที่ผมจะแนะนำ"

               หากกิจการของท่านได้ทำขึ้นแบบเป็นจริงเป็นจังแล้ว ก็ต้องทำตัวให้ถูกกฎหมายด้วย นั้นก็คือ ไปจดทะเบียนการค้า(จดทะเบียนพาณิชย์ )เสียให้ถูกต้องครับ  

               จากที่เล่ามาถึงตอนนี้ ผู้รับบริการบางท่านก็พอเข้าใจ บางท่านก็ยัง งง ๆ   ว่าความน่าเชื่อถือมันเกี่ยวอะไรกันกับเรื่องทะเบียนพาณิชย์   

               "เกี่ยวสิครับ"  เกี่ยวมากๆด้วย ก็เพราะ ผู้ที่ทำการค้าไม่ว่าจะมีหน้าร้านจริงๆหรือเป็นแบบหน้าร้านเสมือนจริง ซึ่งอยู่ในโลกออนไลน์นั้น สิ่งสำคัญที่สุดประการหนึ่งของการทำการค้าขายก็คือ ความน่าเชื่อถือ  โดยในประเด็นนี้ผมคงไม่ต้องอธิบายต่อนะครับเพราะคนทำการค้าย่อมทราบดี    

                แล้วการจดทะเบียนพาณิชย์   จะช่วยให้เรามีความน่าเชื่อถือได้อย่างไร ?

               ช่วยได้แน่นอนครับ   แต่ก่อนจะไปถึงตรงนั้น ผมขอทำความเข้าใจกับทุกท่านก่อนครับว่า  พ่อค้าแม่ขายทั้งหลาย ไม่ว่าจะรายเล็กหรือรายใหญ่ ที่ค้าขายอยู่บนโลกออนไลน์ หรือ ที่เรียกว่า E-Commerce นั้น  และมีที่ตั้งสำนักงานอยู่ในประเทศไทย  ถือว่าเป็นผู้ประกอบพาณิชยกิจทุกคนและต้องจดทะเบียนพาณิชย์ด้วย   ตามประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง ให้ผู้ประกอบพาณิชยกิจต้องจดทะเบียนพาณิชย์ (ฉบับที่ 11) พ.ศ. 2553 (ลงวันที่ 10 พฤศจิกายน2553)    และถ้าผู้ประกอบการรายใดฝ่าฝืนจะมีโทษปรับไม่เกิน  2,000 บาท และปรับรายวันเพิ่มอีกไม่เกินวันละ 100 บาท จนกว่าจะจดทะเบียนให้ถูกต้อง ดังนั้น อย่างน้อยเมื่อคุณคิดทำการค้าแบบจริงจังแล้ว ก็ต้องไปจดทะเบียนพาณิชย์ เสียให้ถูกต้องนะครับ  

               ประการต่อมาที่ว่าการจดทะเบียนพาณิชย์   จะสร้างความน่าเชื่อถือให้กับ E-Commerce  ได้อย่างไรนั้น  ผมขออธิบายดังนี้   ในการทำการค้าแบบปกติที่มีหน้าร้านหรือที่ตั้งสำนักงานเป็นอาคารสถานที่จริงๆนั้น   ลูกค้าย่อมเข้าถึงและตรวจสอบตัวตนของผู้ประกอบการได้โดยง่าย   แต่ E-Commerce  นั้นมีกลุ่มลูกค้าได้จากหลายทาง และอาจอยู่ห่างไกลกันมากๆ โดยอาศัยการเชื่อมโยงระบบอินเทอร์เน็ทเข้าด้วนกัน ทำให้ฐานลูกค้ากว้างขึ้น ซึ่งเป็นจุดดีของการการค้าแบบ E-Commerce   แต่ในเวลาเดียวกันสิ่งนี้ก็เป็นจุดด้อยของ E-Commerce   ด้วยเช่นกัน  เนื่องจากขาดความน่าเชื่อถือนั่นเอง  เพราพเหมือนไม่มีตัวตนให้จับต้องได้  ตรงนี้หละครับที่ทะเบียนพาณิชย์เข้ามามีบทบาทและทำให้กิจการของคุณมีความน่าเชื่อถือยิ่งขึ้น  เพราะลูกค้าจะสามารถตรวจสอบการมีตัวตนของ E-Commerce  รายนี้ได้โดยง่ายจากทะเบียนพาณิชย์นั้นเอง    และนอกจากนี้  หาก E-Commerce    รายใดได้จะทะเบียนพาณิชย์ ถูกต้องแล้วก็มีสิทธิ์ที่จะขอรับเครื่องหมาย  DBD Registered     ได้อีกด้วย โดยนำเครื่องหมาย  DBD Registered    มาแสดงในหน้าร้านค้าออนไลน์ของตน เพื่อเป็นการยืนยันตัวบุคคลได้เป็นอย่างดียิ่งขึ้นไปอีก   ซึ่งผมกลับเห็นว่าจะมีความน่าเชื่อถือเสียยิ่งกว่าภาพบัตรประจำตัวประชาชนอีกด้วยครับ 

                การจดทะเบียนพาณิชย์ยากหรือไม่ ?

             วิธีการนั้นง่ายแสนง่ายและสะดวกรวดเร็ว ผู้ประกอบการสามารถดำเนินการได้ด้วยตัวเองครับ       ทั้งนี้ ดูที่ว่าที่ตั้งสำนักงานของท่านตั้งอยู่ที่ใดก็ไปจดที่นั่น เช่น  อยู่ในเขตกรุงเทพมหานครก็ สามารถยื่นขอจดทะเบียนได้ที่ ฝ่ายปกครองสำนักงานเขตท้องที่ หรือ ที่สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง สำนักการคลัง กรุงเทพมหานคร  ส่วนผู้ประกอบการที่อยู่ต่างจังหวัด สามรถยื่นขอจดทะเบียนได้ที่  เทศบาล  องค์การบริหารส่วนตำบล หรือ เมืองพัทยา เป็นต้น 

               กิจการ E-Commerce ที่ต้องจดทะเบียนมีดังนี้ครับ
  1.  กิจการซื้อ/ขายสินค้าหรือให้บริการโดยใช้สื่ออีเล็กทรอนิกส์ ผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ท   เช่น ร้านค้าในเว็บไซต์สื่อกลางการติดต่อซื้อ / ขาย(E-Marketplace)  หรือร้านค้าในสังคมออนไลน์ (Social Media) เป็นต้น
  2. ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ท  ( Internet Service Provider : ISP)
  3. ผู้ให้เช่าพื้นที่ของเครื่องคอมพิวเตอร์แม่ข่าย (Web Hosting)
  4. ผู้ให้บริการตลาดกลางในการซื้อ/ขายสินค้าโดยผ่านระบบอิทเทอร์เน็ท (E-Marketplace) 


          เมื่อผู้ประกอบการ E-Commerce ได้จดทะเบียนพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์แล้ว ก็มีสิทธิยื่นขอรับเครื่องหมาย  DBD Registered ดังที่กล่าวมาแล้ว ทั้งนี้  เพื่อยืนยันการมีตัวตนของผู้ประกอบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ที่ได้จดทะเบียนพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์แล้วนั้นเอง

              เพียงเท่านี้ร้านค้าของท่านก็จะมีความน่าเชื่อถือได้โดยไม่ต้องกังวลว่าจะถูกมิจฉาชีพหลอกลวงได้ง่ายๆอีกต่อไป และที่สำคัญยังเป็นการทำถูกกฎหมายอีกด้วยครับ


ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเรื่อง ทะเบียนพาณิชย์ (บุคลธรรมดา/นิติบุคคล)

ศึกษาข้อมูล การขอรับเครื่องหมาย DBD Registered

              หวังว่าจะเป็นประโยชน์แก่ท่านผู้อ่านไม่มากก็น้อย ซึ่งหากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามเข้ามาได้ และช่วยกันเผยแพร่ให้เป็นความรู้แก่บุคคลทั่วไปครับ

ที่ปรึกษากฎหมาย นิติ ลอว์


#ทนายความ
#ปรึกษากฎหมาย #ซื้อขายออนไลน์

วันพุธที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2559

วิเคราะห์ข้อสงสัย ทำไม บริษัทประกันจึงปฏิเสธการชำระเงินตามกรมธรรม์ประกันชีวิตได้


เรื่องนี้ไม่ต้องเกริ่นกันให้ยืดยาว ปัญหาข้อสงสัยเรื่องการทำประกันชีวิตได้กลับมาเป็นประเด็นสนทนากันในสังคม(ออนไลน์)กันอย่างต่อเนื่อง  วันนี้เรามาลองวิเคราะห์หาสาเหตุกันว่า ทำไม บริษัทประกันต่างๆจึงมีหนังสือบอกล้างกรมธรรม์ประกันชีวิตและชำระเงินเพียงเบี้ยประกันที่ได้ส่งไปแล้วหลังหักค่าใช้จ่าย หรือหนี้สิน (ถ้ามี) คืนให้แก่ผู้เอาประกันหรือทายาท ดังที่เป็นข่าวอยู่นั้น

ก่อนที่จะไปถึงตัวข้อกฎหมายประกันภัย  เรามาทำความเข้าใจกันในเบื้องต้นก่อนว่า  การทำสัญญาประกันชีวิตนั้น ก็คือ การทำนิติกรรมอย่างหนึ่งตามกฎหมาย ซึ่งอยู่ภายใต้กรอบความสมบูรณ์ของนิติกรรมด้วย   กล่าวคือ  การทำนิติกรรมที่จะมีผลบังคับได้สมบูรณ์นั้น นิติกรรมดังกล่าว จะต้องไม่ตกเป็น โมฆะ (สูญเปล่า) หรือ โมฆียะ (ไม่สมบูรณ์) ด้วย   ดังนี้ หากนิติกรรมนั้นตกเป็นโมฆะก็มีผลเท่ากับไม่มีนิติกรรมใดหลงเหลืออยู่เลยเพราะมันสูญเปล่าไปนั่นเอง   ส่วนนิติกรรมที่ตกเป็นโมฆียะนั้นต่างออกไป  คือ  ยังคงมีตัวนิติกรรมหลงเหลืออยู่  หากแต่ยังไม่ถือว่านิติกรรมนั้นสมบูรณ์แล้ว  ซึ่งมีผลทำให้คู่สัญญาสามารถเลือกใช้สิทธิ “บอกล้าง”  คือ  ทำให้เป็นโมฆะ หรือ “ให้สัตยาบัน”  คือ ทำให้นิติกรรมนั้นสมบูรณ์ เสียก็ได้

                 ทีนี้เรามาดูกันว่า  เหตุใดบริษัทประกันจึงไม่ต้องจ่ายเงินตามกรมธรรม์ประกันได้ ?

 
               สืบเนื่องจากการทำประกันชีวิตนั้น เป็นเรื่องสำคัญและมีผลกระทบต่อคู่สัญญาตลอดจนผู้รับผลประโยชน์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอก  กฎหมายจึงกำหนดหลักในการทำสัญญาประกันภัยต่อกันไว้ เพื่อไม่ให้เกิดข้อได้เปรียบเสียเปรียบต่อกัน  โดยมีหลักการว่าในขณะทำสัญญาประกันภัย ผู้เอาประกันภัยก็ดี หรือในกรณีประกันชีวิต บุคคลอันการใช้เงินย่อมอาศัยความทรงชีพหรือมรณะของเขานั้นก็ดี  “รู้อยู่แล้วละเว้นเสียไม่เปิดเผยข้อความจริง”  ซึ่งอาจจะได้จูงใจผู้รับประกันภัยให้เรียกเบี้ยประกันภัยสูงขึ้นอีก หรือ ให้บอกปัดไม่ยอมทำสัญญา หรือว่ารู้อยู่แล้วได้แถลงข้อความนั้น “เป็นความเท็จ”  ซึ่งกฎหมายได้ระบุว่า ให้สัญญาประกันภัย หรือประกันชีวิตนั้น ตกเป็นโมฆียะ  ทั้งนี้ เป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 865  วรรคแรก   ซึ่งจะเห็นได้ว่า กฎหมายได้กำหนดให้เป็นหน้าที่ของผู้ที่จะทำประกันชีวิตว่า “ต้องแจ้งข้อเท็จจริงอันสำคัญ”  ที่อาจทำให้บริษัทประกันจะตัดสินใจเรียกเบี้ยประกันสูงขึ้น หรือ ปฏิเสธไม่ทำสัญญาด้วย  และกฎหมายไม่ได้กำหนดข้อยกเว้นให้ไม่ต้องบอกกล่าวข้อเท็จจริงนี้ไว้  ดังนี้ ถึงแม้ว่าบริษัทประกันจะแจ้งว่า "ไม่ต้องตอบคำถาม" หรือ "จะไม่ถามคำถาม" อันเกี่ยวกับข้อเท็จจริงดังกล่าวก็ตาม  ผู้เอาประกันภัย(คนที่จะทำสัญญาประกันภัย) ก็ยังคงมีหน้าที่ต้องบอกข้อเท็จจริงดังกล่าวอยู่ดี หากละเลยก็จะมีผลทำให้สัญญาตกเป็นโมฆียะ  ซึ่งข้อเท็จจริงที่สำคัญนี้ได้แก่  ข้อเท็จจริงเรื่องปัญหาสุขภาพ หรือความประพฤติเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพได้ เช่น มีโรคประจำตัว  เป็นคนสูบบุหรี่ หรือ ดื่มสุราเป็นประจำ  เป็นต้น

                 จากหลักกฎหมายดังกล่าวจึงบอกได้ว่า ทำไมบริษัทประกันภัยจึงยกเอาการที่ผู้เอาประกันละเลยไม่บอกข้อเท็จจริงเกี่ยวกับปัญหาสุขภาพมาเป็นเหตุในการบอกล้างสัญญาประกันชีวิตได้   โดยในประเด็นนี้หากตกลงกันไม่ได้ก็ต้องไปให้ศาลวินิจฉัยต่อไป โดยผู้เอาประกันภัยหรือทายาทก็ต้องพิสูจน์ให้ศาลเห็นได้ว่า บริษัทประกัน ซึ่งเป็นผู้รับประกันภัยนั้น ทราบเหตุสำคัญดังกล่าวอยู่แต่ต้นแล้วยังคงทำสัญญาประกันภัยด้วย หรือไม่ก็ต้องพิสูจน์ให้เห็นได้ว่า เหตุดังกล่าวไม่ใช่เหตุที่จะจูงใจผู้รับประกันภัยเรียกเบี้ยประกันภัยสูงขึ้นอีก หรือให้บอกปัดไม่ยอมทำสัญญา

...................................................

                 คำถามต่อมาคือ บริษัทประกันจะใช้สิทธิบอกล้างสัญญาได้เมื่อใด ?


                ในประเด็นนี้กฎหมายวางหลักไว้ว่า ถ้าผู้รับประกันภัยไม่ได้ใช้สิทธิบอกล้างภายในหนึ่งเดือนนับแต่วันที่ผู้รับประกันภัยทราบมูลเหตุอันจะบอกล้างได้ หรือไม่ได้ใช้สิทธินั้นภายในกำหนดห้าปีนับแต่วันทำสัญญา  สิทธินั้นเป็นอันระงับสิ้นไป  ทั้งนี้เป็นไปตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 865 วรรคสอง 

                จากข้อกฎหมายดังกล่าว ทำให้สรุปความได้ว่าสิทธิของบริษัทประกันนั้นมีสองระยะ คือ หนึ่งเดือนนับแต่รู้เหตุ ซึ่งถ้าบริษัทประกันละเลยทั้งที่รู้เหตุก็มีผลเท่ากับว่าได้ให้สัตยาบันกับสัญญารายนี้แล้ว  กับอีกกรณีคือ  ภายในห้าปีนับแต่ทำสัญญา ซึ่งในกรณีหลังนี้กฎหมายดูว่าเวลาได้ผ่านมานานถึงห้าปีแล้วผู้เอาประกันก็ยังคงมีชีวิตอยู่ได้ ข้อเท็จที่ปิดบังไว้ดังกล่าวจึงไม่ใช่เหตุสำคัญที่จะยกขึ้นมาเพื่อบอกล้างสำหรับผู้เอาประกันรายนี้ได้อีกต่อไป

...................................................

                 แล้วเช่นนี้ ถ้าในขณะทำสัญญาประกันชีวิตเราได้แจ้งข้อเท็จจริงเรื่องสุขภาพ หรือความประพฤติไม่ดีของตัวเรากับนายหน้าประกันชีวิตแล้ว จะถือว่าผู้รับประกันได้ทราบข้อเท็จจริงอันสำคัญอยู่แล้วหรือไม่ ?

ในเรื่องนี้ เคยเป็นคดีและศาลฎีกาได้ตัดสินไว้แล้วว่า หากตัวแทนดังกล่าวไม่ใช่ตัวแทนของบริษัทประกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ จะถือว่าบริษัทประกันได้ทราบข้อเท็จจริงดังกล่าวด้วยไม่ได้

                ใครคือตัวแทนหรือใครคือนายหน้าประกันชีวิตดูได้อย่างไร ?

ดูได้ตามนี้ครับ 

“ตัวแทนประกันชีวิต”  คือ  ผู้ซึ่งบริษัทมอบหมายให้ทำการชักชวนให้บุคคล “ทำสัญญา” ประกันชีวิตกับบริษัท

“นายหน้าประกันชีวิต” คือ  “ผู้ชี้ช่องหรือจัดการ” ให้บุคคลเข้าทำสัญญาประกันชีวิตกับบริษัท โดยกระทำเพื่อบำเหน็จเนื่องจากการนั้น

                และประเด็นนี้ยังมีหลักกฎหมายต่อไปว่า ตัวแทนประกันชีวิตอาจทำสัญญาประกันชีวิตในนามของบริษัทได้ “เมื่อได้รับหนังสือมอบอำนาจจากบริษัท”  ส่วนนายหน้าประกันชีวิตหรือพนักงานของบริษัทซึ่งมีหน้าที่เกี่ยวกับการรับเงินอาจรับเบี้ยประกันภัยในนามของบริษัทได้ เมื่อได้รับหนังสือมอบอำนาจจากบริษัท     ทั้งนี้เป็นไปตาม พระราชบัญญัติประกันชีวิต พ.ศ.2535 มาตรา 5 และมาตรา 71

               จากข้อกฎหมายดังกล่าวจึงเห็นได้ว่า มีเพียงตัวแทนประกันชีวิตเท่านั้น ที่กฎหมายอนุญาตให้ผู้รับประกันภัย สามารถมอบอำนาจเป็นหนังสือให้ทำสัญญาประกันภัยได้เท่านั้น   ส่วนนายหน้าหรือพนักงานอื่นไม่อาจได้รับมอบอำนาจให้ทำสัญญาประกันภัยได้ตามกฎหมาย  ดังนั้น หากท่านจะทำสัญญาประกันชีวิตและต้องการแจ้งข้อเท็จจริงอันสำคัญดังกล่าวให้มีผลตามกฎหมาย จึงต้องกระทำต่อบริษัทประกันภัยโดยตรง  หรือ  มิเช่นนั้นก็ต้องกระทำต่อตัวแทนประกันชีวิตซึ่งได้รับมอบอำนาจเป็นหนังสือให้ทำสัญญาประกันชีวิตแทนบริษัทได้เท่านั้นจึงจะมีผลตามกฎหมาย  ทั้งนี้ เป็นไปตามแนวคำพิพากษาศาลฎีกาต่อไปนี้ครับ

...................................................

คำพิพากษาศาลฎีกาที่  1333/2551

ช. เป็นตัวแทนในการหาผู้เอาประกันมีหน้าที่ชักชวนให้ผู้อื่นมาทำสัญญาประกันชีวิตกับจำเลย ไม่ใช่ตัวแทนในการทำสัญญาประกันชีวิตของจำเลยตามพระราชบัญญัติประกันชีวิต พ.ศ.2535 มาตรา 5 และมาตรา 71 จึงไม่ใช่ตัวแทนของจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ การที่ ช. ได้ทราบหรือควรจะทราบข้อความจริงขณะทำหนังสือรับรองสุขภาพว่า ส. เคยป่วยเป็นโรคตับอักเสบและมีอาการแน่นหน้าอกเนื่องจากดื่มสุรามากได้รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล จะถือว่าจำเลยได้ทราบความจริงดังกล่าวด้วยหาได้ไม่

         
ส. รู้อยู่ว่าตนเป็นโรคตับอักเสบแต่ละเว้นไม่เปิดเผยข้อความจริงที่อาจจูงใจให้จำเลยปฏิเสธไม่ทำสัญญาหรือเรียกเบี้ยประกันสูงขึ้นย่อมทำให้สัญญาประกันชีวิตระหว่าง ส. กับจำเลยเป็นโมฆียะตาม ป.พ.พ. มาตรา 865 วรรคหนึ่ง

...................................................


                 หวังว่าจะเป็นประโยชน์แก่ท่านผู้อ่านไม่มากก็น้อย ซึ่งหากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามเข้ามาได้ และช่วยกันเผยแพร่ให้เป็นความรู้แก่บุคคลทั่วไปครับ

ที่ปรึกษากฎหมาย นิติ ลอว์

#ปรึกษากฎหมาย  #ประกันชีวิต