วันเสาร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2560

“ค่างวดรถ” ชำระไม่ไหวให้เร่งส่งมอบรถคืน

               อย่างที่ได้เคยเล่าสู่กันฟังว่า เมื่อได้เช่าซื้อรถยนต์มาแล้วก็มีหน้าที่ต้องผ่อนชำระค่างวด ซึ่งหากผิดนัดแล้วผู้ให้เช่าซื้อมาติดตามยึดรถคืนไปก็มักจะถูกดำเนินคดีเรียกค่าเสียหายจากเหตุขายทอดตลาดรถคันดังกล่าวแล้วได้ราคาไม่คุ้มทุน พูดง่ายๆถูกยึดแล้วยังถูกฟ้องเรียกค่าส่วนต่างมาอีก
               ในครั้งนี้ เรามาพูดคุยกันถึงกรณีที่เช่าซื้อรถมาแล้วแต่เกิดเหตุขัดสนจนไม่สามารถชำระค่าเช่าซื้อต่อไปได้ควรทำอย่างไร ? 

                แน่นอนครับว่า เช่าซื้อรถมาแล้วหากติดขัด แต่ถ้ายังพอถูๆไถ่ หาทางออกกันไปได้ก็ “สู้ต่อไปนะทาเคชิ” เพื่อรถแสนรักของเราๆท่านๆ แต่ถ้าเห็นการณ์ข้างหน้าแล้วว่า ไม่ไหวแน่ๆ จะทำอย่างไรกันได้บ้าง ซึ่งทางหนึ่งที่ผมจะแนะนำให้เป็นหนึ่งในทางเลือกเสมอ คือ “นำรถไปคืน” เหตุเพราะรถที่ใช้ส่วนบุคคลนั้นมีแต่เสียทรัพย์ไม่ได้ก่อทรัพย์ให้งอกเงย เหมือนดังเช่นรถยนต์ที่ใช้ในทางการค้า ดังนั้น หากยื้อต่อไปแล้วก็มีแต่จะเจ็บตัว เพราะ ราคารถก็ตกลงทุกวัน ค่างวดดอกเบี้ยก็บวกไปทุกเดือน ดูแล้วสุดท้ายก็ไม่แคล้วถูกยึดและต้องมาถูกฟ้องเรียกค่าเสียหายอีก เช่นนี้ สู้เอารถไปคืนเสียก่อนผิดนัดจะเป็นทางเลือกที่ดีเสียกว่า ถึงแม้ต้องสูญรถคันนี้ไป แต่เดี๋ยวพอมีกำลังก็หาใหม่ได้ไม่ยาก

#ซึ่งถ้าก่อนจะมีการผิดนัดผู้เช่าซื้อเป็นฝ่ายเริ่มที่จะเลิกสัญญาด้วยการส่งมอบรถยนต์คันที่เช่าซื้อคืนในสภาพสมบูรณ์และผู้ให้เช่าซื้อยอมรับคืนไปโดยไม่อิดเอื้อน(สงวนสิทธิ์) ผลก็เท่ากับสัญญาเช่าซื้อเลิกกันไปโดยผู้ให้เช่าซื้อไม่เสียหาย ดังนี้ หากผู้ให้เช่าซื้อจะนำรถคันดังกล่าวออกขายได้ราคาต่ำกว่าทุนก็ไม่มีสิทธิ์เรียกค่าเสียหายในส่วนนี้จากผู้เช่าซื้อได้ อีก ซึ่งต่างจากกรณีที่ผู้เช่าซื้อเป็นฝ่ายผิดนัดแล้วถูกติดตามยึดรถคืน ถึงแม้จะมีผลทำให้สัญญาเช่าซื้อเลิกกันไปโดยผลของกฎหมายเช่นเดียวกันก็ตาม แต่การเลิกสัญญานี้เกิดเพราะความผิดของของผู้เช่าซื้อ ดังนั้น เมื่อผู้ให้เช่าซื้อนำรถออกขายทอดตลาดแล้วได้ราคาต่ำกว่าทุนจึงมีสิทธิ์เรียกค่าเสียหายในส่วนนี้จากผู้เช่าซื้อได้

...........................................................

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 14324/2558
                จำเลยเป็นฝ่ายเริ่มต้นติดต่อกับโจทก์เพื่อคืนรถยนต์ที่เช่าซื้อ แสดงให้เห็นจุดประสงค์ของจำเลยที่ต้องการบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อเท่านั้น เมื่อโจทก์ได้รับการติดต่อก็ตกลงและนัดหมายรับรถยนต์ที่เช่าซื้อไปคืนโดยมอบหมายให้ ส. ตัวแทนโจทก์ การที่จำเลยส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อให้แก่ ส. จึงเป็นการบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อด้วยการส่งมอบทรัพย์คืนแก่โจทก์ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 573 สัญญาเช่าซื้อเป็นอันเลิกกันนับแต่วันดังกล่าวแล้ว แม้ต่อมาจำเลยจะตกลงขายสิทธิการเช่าซื้อให้ ส. ก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากสัญญาเช่าซื้อเลิกกันแล้ว เมื่อจำเลยมิได้ผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อและไม่ปรากฏว่าขณะเลิกสัญญาจำเลยมีหน้าที่ต้องรับผิดต่อโจทก์อย่างไร จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ตามฟ้อง

...........................................................

ป.พ.พ. มาตรา ๕๗๓ ผู้เช่าจะบอกเลิกสัญญาในเวลาใดเวลาหนึ่งก็ได้ด้วยส่งมอบทรัพย์สินกลับคืนให้แก่เจ้าของโดยเสียค่าใช้จ่ายของตนเอง

...........................................................

หวังว่าจะเป็นประโยชน์แก่ท่านผู้อ่านไม่มากก็น้อย ซึ่งหากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามเข้ามาได้ และช่วยกันเผยแพร่ให้เป็นความรู้แก่บุคคลทั่วไปครับ

ที่ปรึกษากฎหมาย นิติลอว์
#ปรึกษากฎหมาย #เช่าซื้อ
เครดิตภาพประกอบ / Photo : https://unsplash.com/photos/uSdtHAt7E1Q

โพสต์นี้ ว่าด้วยเรื่อง เช็คค้ำประกัน และ แจ้งความเท็จ

               ในเบื้องต้นขอทำความเข้าใจกันก่อนว่า ในเช็คหนึ่งใบนั้น อาจมีการดำเนินคดีได้ถึงสองคดี คือ คดีแพ่ง และคดีอาญา เหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะ เช็ค คือ ตั๋วเงินประเภทหนึ่ง ซึ่งมีกฎหมายระบุหน้าที่และความรับผิดต่างๆในการใช้ตั๋วเงินดังกล่าวไว้แล้ว ซึ่งในส่วนนี้จะเป็นคดีแพ่ง กับอีกส่วนหนึ่งซึ่งเป็นที่นิยมใช้สิทธิ์กันหากเช็คดังกล่าวไม่สามารถเรียกเก็บเงินได้ตามกำหนด หรือที่นิยมเรียกว่า “เช็คเด้ง” โดยเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ.2534
ซึ่งมีโทษทางอาญา
                แต่ก่อนที่ท่านจะใช้สิทธิในทางใด จะต้องดูเสียก่อนว่า เช็คใบนั้น ผู้สั่งจ่าย หรือผู้ลงนามในเช็คจะต้องรับผิดในทางใดได้บ้าง ก็จะได้เลือกดำเนินคดีได้อย่างถูกต้อง ซึ่งหากไม่มีความผิดในทางอาญา ก็อย่าไปใช้สิทธิแจ้งความดำเนินคดีอาญากับผู้สั่งจ่ายมิเช่นนั้นผู้ทรงก็อาจจะมีความผิดในทางอาญาเสียเองซึ่งไม่คุ้มกันเลย



       คดีที่ผมนำมาเล่าสู่กันฟังในวันนี้นั้น เป็นเรื่องการออกเช็คเป็นประกันการทำงาน และมีเงื่อนไขบังคับก่อนว่าต้องมีการหักทอนบัญชีกันให้แล้วเสร็จจึงจะนำเช็คดังกล่าวไปขึ้นเงินได้ ดังนั้น เมื่อการหักทอนบัญชียังไม่เกิดขึ้น ผู้ทรงเช็คก็ยังไม่มีสิทธิ์ในการนำเช็คไปเรียกเก็บเงิน สถานะของเช็คดังกล่าวก็ยังคงเป็นการค้ำประกันงานกันอยู่ ( #เมื่อยังไม่เกิดสิทธิโดยชอบหากนำเช็คไปเรียกเก็บผู้สั่งจ่ายจะไม่มีความผิดในทางอาญา 
ดังนี้ เมื่อผู้ทรงเช็คนำเช็คดังกล่าวไปเรียกเก็บเงินก่อนมีสิทธิ์ทำได้ตามกฎหมายแล้วธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน จากนั้นจึงได้นำเรื่องไปแจ้งความเดินเนินคดีว่า #ผู้สั่งจ่ายกู้ยืมเงินไปแล้วออกเช็คไว้ให้ไม่มีเงินพอจ่าย อันเป็นลักษณะความผิดพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2497 ม.3 ( ปัจจุบันมีการชำระแก้ไขใหม่เป็น ปี 2534) ซึ่งไม่ตรงกับความเป็นจริง ดังนั้น ผู้แจ้งความคดีเช็คจึงมีความผิดฐานแจ้งความเท็จ
(((ความเห็นเพิ่มเติม))) ในประเด็นนี้ พอเทียบเคียงกับข้อเท็จจริงกรณี การนำเช็คค้ำประกันแบบไม่มีเงื่อนไขบังคับก่อนซึ่งไม่มีทางเป็นความผิดตามกฎหมายในทางอาญาได้เลยไปแจ้งความดำเนินคดี ก็จะมีความผิดฐานแจ้งความเท็จได้เช่นดังคำพิพากษาฎีกาฉบับนี้เช่นกัน และที่สำคัญเพียงการแจ้งความก็เป็นความผิดสำเร็จแล้ว โดยไม่ต้องคำนึงว่าพนักงานสอบสวนตลอดจนพนักงานอัยการจะพิจารณาสั่งฟ้องดำเนินคดีหรือไม่

...................................................

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 586 - 600/2504

                จำเลยจ้างโจทก์ทำการก่อสร้างอาคารและจ่ายเงินให้โจทก์นำไปใช้ในการก่อสร้างโดยให้โจทก์ออกเช็คไว้ให้เป็นประกันการก่อสร้างโดยเป็นที่เข้าใจกันว่าจะบังคับใช้ให้มีการจ่ายเงินตามเช็คได้ต่อเมื่อได้คิดบัญชีหักทอนกันก่อน แต่ต่อมาโจทก์จำเลยผิดใจกัน จำเลยนำเช็คเข้าบัญชีธนาคาร ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน จำเลยก็ไปแจ้งความตำรวจหาว่าโจทก์ทำผิดอาญา โดยกู้ยืมเงินไปแล้วออกเช็คไว้ให้ไม่มีเงินพอจ่าย ทั้งนี้โดยไม่ได้คิดบัญชีกันเลยดังนี้ จำเลยมีความผิดฐานแจ้งความเท็จ ส่วนโจทก์ไม่มีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ.2497(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 14/2504)

               คดีทั้ง 15 สำนวนนี้ ศาลอาญารวมพิจารณาพิพากษาโดยเดิมนายเกษมเป็นโจทก์ฟ้องนายทองดีเป็นจำเลยหาว่านายทองดีนำความที่รู้ว่าเป็นเท็จไปแจ้งต่อเจ้าพนักงานตำรวจว่า นายเกษมยืมเงินนายทองดีไปหลายครั้งโดยออกเช็คไว้ให้เป็นการชำระหนี้เงินยืมรวม 7 ฉบับธนาคารคืนเช็คเพราะนายเกษมไม่มีเงินในธนาคาร ซึ่งความจริงเช็ค 7 ฉบับนี้เกิดจากนายทองดีจ้างเหมานายเกษมทำการก่อสร้างที่พักตากอากาศของนายทองดี ๆ จ่ายเงินค่าก่อสร้างให้โดยให้นายเกษมออกเช็คไว้เป็นประกันการก่อสร้าง ขอให้ลงโทษตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 118 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137, 172, 173, 175, 267

               ต่อมานายทองดี เป็นโจทก์ฟ้องนายเกษม 7 สำนวน หาว่าออกเช็คสำนวนละ 1 ฉบับโดยมีเงินไม่พอจ่าย ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3 และนับโทษต่อ

               ต่อมาพนักงานอัยการได้ฟ้องนายเกษมเป็นจำเลย 7 สำนวน มีข้อหาและคำขอลงโทษอย่างเดียวกับฟ้องของนายทองดีทั้ง 7 สำนวน

               ศาลแขวงพระนครใต้ไต่สวนมูลฟ้องคดีที่นายเกษมและนายทองดีต่างเป็นโจทก์แล้วสั่งรับฟ้องและให้นายทองดีนำคดีไปฟ้องศาลอาญาและเห็นว่ากรณี 2 เรื่องนี้ ควรรวมพิจารณาที่ศาลอาญาโดยคู่ความต่างยินยอม จึงส่งสำนวนที่นายเกษมเป็นโจทก์มาศาลอาญา ศาลอาญาสั่งให้โอนคดีมารวมพิจารณากันได้

               ศาลอาญาพิจารณาเสร็จแล้วฟังว่า นายทองดีจ้างเหมาบริษัทนวรัตน์จำกัด ซึ่งนายเกษมเป็นผู้จัดการทำการก่อสร้าง ไม่พอฟังว่านายทองดีจ้างนายเกษมเป็นส่วนตัว ฉะนั้น เช็คที่นายเกษมออกให้จึงไม่ใช่เช็คประกันการก่อสร้างนายเกษมจึงมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค รวม 7 กระทง ให้จำคุก 1 ปี (ลดแล้ว) และยกฟ้องของนายเกษม

               นายเกษมอุทธรณ์ทุกสำนวน

               อัยการอุทธรณ์ขอให้เรียงกระทง และลงโทษให้หนัก

               นายทองดีอุทธรณ์ว่าไม่ควรลดโทษให้ 1 ใน 3

               ศาลอุทธรณ์ฟังว่า เช็ค 7 ฉบับนี้ นายเกษมออกให้เพื่อประกันการทำงานก่อสร้างให้นายทองดีเป็นส่วนตัว นายทองดีหาได้จ้างบริษัทนวรัตน์จำกัดทำการก่อสร้างไม่ จึงลงโทษนายเกษมไม่ได้เพราะไม่มีเจตนาชำระหนี้ตามเช็คกันการแจ้งความของนายทองดีจึงเป็นความเท็จและมีความผิดตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 118 และมาตรา 158 ซึ่งเป็นบทหนัก แต่นายเกษมโจทก์มิได้ขอ อ้างมาตรา 158 คงอ้างแต่ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 173 ซึ่งมีโทษเบากว่าแม้จะอ้างบทผิด ศาลมีอำนาจลงโทษตามบทที่ถูกต้องได้ แต่ต้องไม่เกินคำขอพิพากษากลับให้จำคุกนายทองดี 1 ปีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 173ซึ่งเป็นบทหนัก ให้ยกฟ้องนายทองดีและอัยการ

               นายทองดีและอัยการฎีกา

               ศาลฎีกาคงฟังว่านายเกษมออกเช็คให้เพื่อประกันงานก่อสร้างให้นายทองดี โดยคู่กรณีเข้าใจกันดีว่าจะบังคับการจ่ายเงินตามเช็คได้ต่อเมื่อมีการคิดบัญชีกันแล้วระหว่างจำนวนเงินในเช็คกับค่าของงานที่ทำเสร็จ ฉะนั้น การที่นายทองดีไปจัดการบังคับให้มีการจ่ายเงินตามเช็คโดยไม่คิดบัญชีหักทอนกันก่อน จึงเป็นการว่ากล่าวเอากับเช็คโดยยังไม่มีอำนาจทำได้ การกระทำของนายเกษมจึงไม่มีความผิดตามฟ้องของนายทองดีและอัยการ

               ส่วนฟ้องของนายเกษมนั้น เมื่อฟังข้อเท็จจริงดังกล่าวแล้วโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่า นายทองดีมีความผิดฐานแจ้งความเท็จตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 118 ส่วนประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 173 มิได้เป็นคุณแก่จำเลย จะลงโทษจำเลยตามมาตรา 173 ไม่ได้
จึงพิพากษาแก้ ให้ลงโทษนายทองดีจำเลยตามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา 118 นอกนั้นยืน

...................................................

หมายเหตุ
                พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2497 ปัจจุบันได้ชำระและแก้ไขใหม่โดยออกเป็นพระราชบัญญัติ ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 ขึ้นแทนแล้ว แต่หลักกฎหมายที่ใช้ประกอบการพิจารณาประเด็นแจ้งความเท็จนั้นยังคงหลักการเดิม

..................................................

หวังว่าจะเป็นประโยชน์แก่ท่านผู้อ่านไม่มากก็น้อย ซึ่งหากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามเข้ามาได้ และช่วยกันเผยแพร่ให้เป็นความรู้แก่บุคคลทั่วไปครับ

ที่ปรึกษากฎหมาย นิติลอว์
#ปรึกษากฎหมาย #เช็ค #แจ้งความเท็จ
 เครดิตภาพประกอบ / Photo : https://unsplash.com/photos/yC-Yzbqy7PY

วันเสาร์ที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2560

สัญญารับจ้างก่อสร้างอาคารเพื่อการอยู่อาศัยเป็นสัญญาควบคุม มีผลบังคับใช้แล้ว


สัญญารับจ้างก่อสร้างอาคารเพื่อการอยู่อาศัย เป็นสัญญาควบคุม มีผลแต่วันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๐ เป็นต้นไป


               เป็นที่น่ายินดีต่อผู้บริโภคที่ต่อไปนี้สัญญาก่อสร้างอาคารเพื่อการอยู่อาศัยนั้นตกเป็นสัญญาควบคุม โดยคณะกรรมการว่าด้วยสัญญาได้ออกประกาศ เรื่อง ให้ธุรกิจการรับจ้างก่อสร้างอาคารเพื่อการอยู่อาศัยเป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญา พ.ศ. ๒๕๕๙ ซึ่งมีผลใช้บังคับแล้ว เพื่อเป็นการกำหนดแนวทางที่ชัดเจนในเรื่องการกำหนดข้อสัญญารับจ้างก่อสร้างอาคารเพื่อการอยู่อาศัย ซึ่งบ่อยครั้งพบว่าผู้บริโภคยังถูกเอาเปรียบจากข้อสัญญาอยู่ โดยต่อไปนี้สัญญาที่จะกำหนดกันขึ้นใหม่นั้น ต้องเป็นไปตามแบบที่ควบคุมตามประกาศ

             
               ดังนี้ เมื่อคณะกรรมการว่าด้วยสัญญาได้กำหนดให้สัญญารับจ้างก่อสร้างอาคารเพื่อการอยู่อาศัย  ต้องใช้ข้อสัญญาใดหรือต้องใช้ข้อสัญญาใดโดยมีเงื่อนไขในการใช้ข้อสัญญานั้นด้วยแล้ว ถ้าสัญญานั้นไม่ใช้ข้อสัญญาดังกล่าวหรือใช้ข้อสัญญาดังกล่าวแต่ไม่เป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนด กฎหมายก็ให้บังคับตามที่ประกาศกำหนดไว้แทน แล้วแต่กรณี หรือ เมื่อคณะกรรมการว่าด้วยสัญญากำหนดให้สัญญารับจ้างก่อสร้างอาคารเพื่อการอยู่อาศัย ต้องไม่ใช้ข้อสัญญาใดแล้ว ถ้าสัญญาฉบับนั้นใช้ข้อสัญญาที่ห้ามไว้ กฎหมายก็ให้ถือว่าสัญญาฉบับนั้นไม่มีข้อสัญญาที่ต้องห้ามเช่นว่านั้นโดยปริยาย ทั้งนี้ เป็นไปตาม พระราชบัญญัติ คุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๓๕ ตรี , มาตรา ๓๕ จัตวา

 
#รายละเอียดข้อสัญญาที่ควบคุมและข้อห้ามต่างๆจะเป็นเช่นไร ศึกษาได้ตามไฟล์แนบ

หวังว่าจะเป็นประโยชน์แก่ท่านผู้อ่านไม่มากก็น้อย ซึ่งหากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามเข้ามาได้ และช่วยกันเผยแพร่ให้เป็นความรู้แก่บุคคลทั่วไปครับ

ที่ปรึกษากฎหมาย นิติลอว์

#ปรึกษากฎหมาย #สัญญาจ้างก่อสร้างที่อยู่อาศัย





วันพฤหัสบดีที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2560

สัญญาหลักประกันทางธุรกิจ

                จากในครั้งก่อนผมได้นำ พระราชบัญญัติ หลักประกันทางธุรกิจ พ.ศ. ๒๕๕๘ มาโพสต์ไว้ในเพจนี้เพื่อให้ได้ทำความรู้จักและศึกษากัน  ซึ่งกฎหมายเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องใหม่ของบ้านเมืองเรา ถึงแม้จะไม่ได้ใหม่ถอดด้ามในต่างประเทศ  แต่ก็เป็นเรื่องยากที่เราจะหยิบยกเอาแนวทางปฏิบัติของในต่างประเทศมายึดถือเป็นแนวทางปฏิบัติของบ้านเราไปเลยนั้นคงไม่เหมาะเสียทีเดียว  ดังนี้ ในการบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยหลักประกันทางธุรกิจในบ้านเราต่อไปนั้น บุคคลากรทั้งในภาครัฐและภาคเอกชนจึงต้องช่วยกันศึกษาและออกแนวทางปฏิบัติให้ถูกต้องเหมาะสมสอดคล้องกับสังคมไทยและไม่ด้อยกว่าหลักที่ปฏิบัติกันอยู่ในต่างประเทศด้วย  ทั้งนี้ เพื่อความน่าเชื่อถือและเป็นธรรมต่อทุกภาคส่วนต่อไปนั้นเองครับ  

(picture from unsplash.com) 
  
               ในเบื้องต้นนี้ เรามาทำความรู้จักกับสัญญาหลักประกันทางธุรกิจเสียก่อน ว่าแท้จริงแล้วมีสาระสำคัญอย่างไร 

"สัญญาหลักประกันทางธุรกิจ" 

               ตามความใน มาตรา ๕ ของกฎหมายดังกล่าวบัญญัติว่า   
               สัญญาหลักประกันทางธุรกิจ คือ สัญญาซึ่งคู่สัญญาฝ่ายหนึ่ง เรียกว่า ผู้ให้หลักประกัน ตราทรัพย์สินไว้แก่คู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่ง เรียกว่า ผู้รับหลักประกัน เพื่อเป็นประกันการชำระหนี้ โดยไม่จำเป็นต้องส่งมอบทรัพย์สินนั้นแก่ผู้รับหลักประกัน

               ผู้ให้หลักประกันอาจตราทรัพย์สินของตนไว้เพื่อประกันการชำระหนี้อันบุคคลอื่นต้องชำระก็ได้  
.....................................................

               จากหลักกฎหมายดังกล่าวจะเห็นได้ว่า แท้จริงแล้วสัญญาหลักประกันทางธุรกิจนั้นก็คือสัญญาคำประกันการชำระหนี้นั่นเอง  เพียงแต่ เป็นการ "ตราทรัพย์" ไว้ โดยไม่ต้องส่งมอบตัวทรัพย์สินให้แก่คู่สัญญา  พูดให้เห็นภาพง่ายๆ ก็เหมือนกับการจำนองที่ดิน ซึ่งเพียงแค่จดทะเบียนจำนองกันที่สำนักงานที่ดินเท่านั้นแต่ลูกหนี้หรือผู้ค้ำประกันซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินที่จำนองนั้นไม่ต้องส่งมอบการครอบครองทรัพย์ให้แก่เจ้าหนี้แต่อย่างใด  ซึ่งกรณีของการทำสัญญาหลักประกันนี้ ก็ยังแตกต่างจากการจำนำอีกด้วย เนื่องการจำนำนั้นกฎหมายไม่ได้บังคับให้ต้องตราทรัพย์สินไว้แต่ต้องส่งมอบทรัพย์ที่จำนำให้แก่ผู้รับจำนำยึดถือไว้ ผู้จำนำไม่สามารถนำเอาทรัพย์ที่จำนำกลับมาใช้สอยได้จนกว่าจะมีการไถ่ถอนจำนำเสร็จสิ้น  และที่น่าสนใจก็คือทรัพย์สินที่จะนำมาเป็นหลักประกันตากฎหมายใหม่ฉบับนี้ นั้นไม่ได้จำกัดอยู่แต่เพียงทรัพย์ที่มีตราสารหรือมีเอกสารสิทธิเท่านั้น  หากแต่เป็นสังหาริมทรัพย์ หรือสิทธิต่างๆก็สามารถนำมาเป็นหลักประกันได้ด้วย 

ประโยชน์ของสัญญาหลักประกันทางธุรกิจ

               เนื่องจากทรัพย์สินที่จะนำมาเป็นหลักประกันได้นั้นมีกำหนดไว้ใน มาตรา ๘ บัญญัติว่า

               หลักประกันได้แก่ทรัพย์สิน ดังต่อไปนี้

(๑) กิจการ

(๒) สิทธิเรียกร้อง

(๓) สังหาริมทรัพย์ที่ผู้ให้หลักประกันใช้ในการประกอบธุรกิจ เช่น เครื่องจักร สินค้าคงคลัง หรือวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตสินค้า

(๔) อสังหาริมทรัพย์ในกรณีที่ผู้ให้หลักประกันประกอบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์โดยตรง

(๕) ทรัพย์สินทางปัญญา

(๖) ทรัพย์สินอื่นตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
.................................................................

               จึงเห็นได้ว่า ทรัพย์สินที่จะนำมาเป็นหลักประกันทางธุรกิจได้นั้นไม่จำกัดอยู่เพียงที่ดินอันเป็นอสังหาริมทรัพย์แต่เพียงอย่างเดียวอีกต่อไป  หากแต่ตามกฎหมายได้เปิดกว้างรับรองการที่ผู้ให้หลักประกันสามารถนำทรัพย์สินต่างๆของกิจการตน หรืออันเกี่ยวเนื่องมาจากการประกอบกิจการของตนไม่ว่าจะเป็น  สิทธิเรียกร้องต่างๆ  เช่น  สัญญาเช่า ใบเรียกเก็บเงิน ฯ     หรือจะเป็นสังหาริมทรัพย์ที่ใช้ในการประกอบกิจการ   เช่น  วัตถุดิบ  เครื่องจักรในการผลิต      รวมไปถึงอสังหาริมทรัพย์จากกิจการที่ประกอบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์โดยตรง  ตลอดจนทรัพย์สินทางปัญญาที่ผู้ประกอบกิจการเป็นเจ้าของอยู่  เช่น  บทประพันธ์  แบบผลิตภันฑ์ในการผลิตต่างๆ ฯ  หรือแม้แต่ตัวกิจการ  พูดง่ายๆ ยกกิจการทั้งหมดมาเป็นหลักประกันก็ได้      และในทางปฏิบัติจริงๆแล้วทรัพย์สินเหล่านี้ ผู้ประกอบกิจการต่างๆมีความคิดจะขอนำมาเป็นหลักประกันเพื่อขอสินเชื่อกับทางสถาบันการเงินอยู่เช่นกัน แต่ติดอยู่ที่ทางสถาบันการเงินยังเห็นว่าการจะบังคับชำระหนี้กับทรัพย์สินเหล่านี้นั้นยังไม่มีกฎหมายรองรับ  จึงยังไม่ยอมรับหลักประกันดังกล่าวในการขอสินเชื้อ ซึ่งต่อไปนี้มีกฎหมายขึ้นมารองรับแล้วการเข้าถึงทุนของผู้ประกอบการก็จะเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น 

               ที่กล่าวมานี้เป็นเพียงรูปแบบหนึ่งของสัญญาหลักประกันทางธุรกิจที่จะต้องนำมาจดทะเบียนตามกฎหมายเท่านั้น ซึ่งผมขอยกเป็นเพียงตัวอย่างเบื้องต้นพอเข้าใจไว้เท่านี้ก่อนครับ  และในครั้งต่อๆไปผมจะได้มาพูดคุยถึงกฎหมายฉบับนี้ในส่วนอื่นๆอีก เพื่อให้ทุกท่านได้มีความรู้และเข้าใจถึงการปฏิบัติตามกฎหมายฉบับนี้ได้อย่างเข้าใจและถูกต้องครับ

ศึกษากฎหมายฉบับนี้เพิ่มเติมได้ตามลิ้งค์นี้ครับ
https://www.facebook.com/nitilaw.legaladvisors/posts/1247100635322149


หวังว่าจะเป็นประโยชน์แก่ท่านผู้อ่านไม่มากก็น้อย ซึ่งหากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามเข้ามาได้ และช่วยกันเผยแพร่ให้เป็นความรู้แก่บุคคลทั่วไปครับ

ที่ปรึกษากฎหมาย นิติลอว์

#ปรึกษากฎหมาย #สัญญาหลักประกันทางธุรกิจ

ขอบคุณภาพประกอบ  : Thank you ,  picture from unsplash.com

วันเสาร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2559

การ “เรียกเก็บ” กับ “ยึด” ใบอนุญาตขับขี่ เป็นกรณีเดียวกันหรือไม่ และ ความเห็น กรณีที่ไม่ยอมให้เรียกเก็บใบอนุญาตขับขี่จะมีโทษอย่างไร ?

               ประเด็นนี้เป็นเรื่องถกเถียงกันมากพอสมควร และหลายท่านก็มีข้อสงสัยกันมาตลอดว่า การที่เจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย ตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 เมื่อออกใบสั่งแล้วเรียกเก็บใบอนุญาตขับขี่ไปจะเป็นกรณีเดียวกันกับการยึดใบอนุญาตขับขี่ด้วยหรือไม่นั้น บัดนี้ ได้มีคำพิพากษาศาลฎีกาวินิจฉัยให้ความกระจ่างแก่ผู้สนใจได้ศึกษากันเสียที โดยคำพิพากษาศาลฎีกาฉบับดังกล่าวพอสรุปใจความสำคัญได้ดังนี้


               “การเรียกเก็บใบอนุญาตขับขี่ไว้เป็นการชั่วคราว” นั้น เป็นการใช้ดุลพินิจของเจ้าพนักงาน มีวัตถุประสงค์ที่จะให้ผู้ขับขี่ที่ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 รีบไปชำระค่าปรับตามคำสั่งของเจ้าพนักงานจราจรโดยเร็ว เพื่อจะได้รับใบอนุญาตขับขี่คืนจากพนักงานสอบสวนทันที อันจะทำให้สามารถขับขี่รถต่อไปได้โดยถูกต้องตามกฎหมาย ทั้งนี้ เจ้าพนักงานจราจรต้อง ให้ใบรับแทนใบอนุญาตขับขี่ที่ออกให้ใช้แทนใบอนุญาตขับขี่ได้เป็นการชั่วคราวไม่เกินเจ็ดวัน หรือใบรับการส่งธนาณัติ หรือใบรับการส่งตั๋วแลกเงิน ประกอบกับใบสั่งเป็นใบแทนใบอนุญาตขับขี่ได้เป็นเวลาสิบวันนับแต่วันที่ส่งธนาณัติหรือตั๋วแลกเงิน


               “การสั่งยึดใบอนุญาตขับขี่” เป็นอำนาจของ ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ผู้บัญชาการตำรวจภูธร ผู้บังคับการตำรวจจราจร ผู้บังคับการตำรวจทางหลวง ตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 ครั้งละไม่เกินหกสิบวัน และผู้ขับขี่มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งได้ตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 161 ทั้งนี้ กรณีเจ้าพนักงานจราจรจะเป็นผู้สั่งยึดจะต้องได้รับมอบอำนาจจากผู้มีอำนาจข้างต้นเสียก่อนจึงจะมีอำนาจสั่งยึดได้

               เมื่อพิจารณาจากใจความสำคัญทั้งสองประเด็นนี้แล้วจะเห็นได้ว่า   ทั้งสองกรณีมีความแตกต่างกันอยู่พอสมควร โดยการเรียกเก็บใบอนุญาตขับขี่เมื่อมีการออกใบสั่งนั้นไม่ใช่การลงโทษ มีวัตถุประสงค์เพียงเพื่อกระตุ้นให้ผู้ขับขี่เร่งไปชำระค่าปรับเพื่อให้การขับขี่ครั้งต่อไปไม่เป็นการฝ่าฝืนกฎหมายเท่านั้น แต่การสั่งยึดใบอนุญาตขับขี่เป็นการชั่วคราวนั้น มีลักษณะเป็นลงโทษชัดเจน ซึ่งหากผู้รับคำสั่งไม่เห็นด้วยก็สามารถใช้สิทธิ์อุทธรณ์ได้ตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป จากคำพิพากษาศาลฎีกาฉบับนี้จึงเป็นการให้ความกระจ่างชัดในข้อสงสัยของหลายท่านได้ดีทีเดียว ศึกษารายละเอียดตามคำพิพากษาด้านล่างนี้ครับ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1669/2559
                การที่ พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 140, 141, 161 ทวิ กำหนดให้เจ้าพนักงานจราจรใช้ดุลพินิจเรียกเก็บใบอนุญาตขับขี่ไว้เป็นการชั่วคราว และให้ใบรับแทนใบอนุญาตขับขี่ที่ออกให้ใช้แทนใบอนุญาตขับขี่ได้เป็นการชั่วคราวไม่เกินเจ็ดวัน หรือใบรับการส่งธนาณัติ หรือใบรับการส่งตั๋วแลกเงิน ประกอบกับใบสั่งเป็นใบแทนใบอนุญาตขับขี่ได้เป็นเวลาสิบวันนับแต่วันที่ส่งธนาณัติหรือตั๋วแลกเงิน เมื่อเจ้าพนักงานจราจรผู้ออกใบสั่งมิได้รับมอบอำนาจจากผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ผู้บัญชาการตำรวจภูธร ผู้บังคับการตำรวจจราจร ผู้บังคับการตำรวจทางหลวง ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจสั่งยึดใบอนุญาตขับขี่ที่ได้กระทำความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 ครั้งละไม่เกินหกสิบวัน และผู้ขับขี่มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งได้ตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 161 จึงไม่มีอำนาจสั่งยึดใบอนุญาตขับขี่ตามบทบัญญัติดังกล่าว กรณีจึงไม่อาจแปลความคำว่า "เรียกเก็บใบอนุญาตขับขี่ไว้เป็นการชั่วคราว" ตามมาตรา 140 วรรคสาม ว่า เป็นการยึดใบอนุญาตขับขี่ การที่จำเลยซึ่งเป็นผู้ได้รับใบอนุญาตปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้ประจำรถขับขี่รถในระหว่างที่เจ้าพนักงานจราจรเรียกเก็บใบอนุญาตขับขี่ไว้เป็นการชั่วคราว และพ้นกำหนดเวลาเจ็ดวันนับแต่วันที่เจ้าพนักงานจราจรออกใบรับแทนใบอนุญาตขับขี่แล้ว จึงมิใช่เป็นการปฏิบัติหน้าที่ในระหว่างถูกยึดใบอนุญาตขับรถตามกฎหมายว่าด้วยจราจรทางบกอันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.การขนส่งทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 152

..................................................................................


               ที่นี้เรามาลงลึกในเรื่องการเรียกเก็บใบอนุญาตขับขี่ไว้เป็นการชั่วคราวกันต่อ

               เมื่อกฎหมายกำหนดให้เป็นการใช้ดุลพินิจ ย่อมแสดงว่า กฎหมายไม่ได้บังคับให้เจ้าพนักงานจราจรต้องเรียกเก็บใบอนุญาตขับขี่ไว้ทุกครั้งที่มีการออกใบสั่ง กรณีนี้ เจ้าพนักงานจราจรก็ต้องใช้ดุลพินิจให้เหมาะสมแก่พฤติการณ์ หากในขณะกวดขันวินัยจราจรอยู่นั้น เป็นเวลากลางคืน หรือเป็นสถานที่ห่างไกลโรงพัก และในสถานที่ดังกล่าวนั้นไม่มีพนักงานสอบสวนที่จะทำการเปรียบเทียบ(ปรับ)อยู่ในพื้นที่เดียวกันหรือในระยะอันใกล้ หรือ กรณีเจ้าพนักงานจราจรยังไม่พร้อมจะนำส่งใบขับขี่ที่เรียกเก็บไว้ไปยังพนักงานสอบสวนท้องที่ได้โดยเร็ว หรือ เป็นกรณีของคนเดินทางไกลมาจากต่างจังหวัดและไม่ได้หยุดอยู่ในท้องนี้นั้น เหล่านี้ การเรียกเก็บใบอนุญาตขับขี่ไปย่อมทำให้เกิดความไม่สะดวกแก่ผู้ขับขี่เป็นอย่างมาก ในประเด็นนี้ ต้องขอให้เจ้าพนักงานจราจรพิจารณาถึงเหตุผลและสถานการณ์ประกอบการเรียกเก็บด้วย จึงจะเป็นการบังคับใช้กฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพ เหมาะสมและเป็นธรรม


                เมื่อกรณีเจ้าพนักงานเรียกเก็บใบอนุญาตขับขี่ แต่ผู้ขับขี่ไม่ยินยอม จะมีความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 หรือไม่ ?
 
                อำนาจการเรียกเก็บใบอนุญาตขับขี่ดังกล่าวนั้น กำหนดอยู่ใน พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 140 วรรคสาม ความว่า “ในการออกใบสั่งให้ผู้ขับขี่ชำระค่าปรับตามที่เปรียบเทียบตามวรรคหนึ่ง เจ้าพนักงานจราจรหรือพนักงานเจ้าหน้าที่จะเรียกเก็บใบอนุญาตขับขี่ไว้เป็นการชั่วคราวก็ได้ แต่ต้องออกใบรับแทนใบอนุญาตขับขี่ให้แก่ผู้ขับขี่ไว้ และเจ้าพนักงานจราจรหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ต้องรีบนำใบอนุญาตขับขี่ที่เรียกเก็บไว้ไปส่งมอบพนักงานสอบสวนภายในแปดชั่วโมง นับแต่เวลาที่ออกใบสั่ง” ซึ่งเมื่อพิจารณาตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 ลักษณะ 19 ในเรื่อง บทลงโทษ ก็ไม่ปรากฏว่ามีบทบัญญัติโทษกรณีที่ไม่ยินยอมตามมาตรา 140 วรรคสามไว้ ผมเห็นว่าน่าจะพอแสดงให้เห็นถึงเจตนารมณ์ของกฎหมายที่จะให้เป็นไปตามความสมัครใจของผู้ขับขี่ที่จะส่งมอบใบอนุญาตขับขี่ให้แก่เจ้าพนักงานด้วยส่วนหนึ่ง มิเช่นนั้นคงได้กำหนดบทลงโทษไว้ชัดเจนมาแต่ต้นแล้วเหมือนดังเช่นที่ได้กำหนดบทลงโทษผู้ที่ขัดคำสั่งเจ้าพนักงานจราจรหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งสั่งตามมาตรา ๑๔๐ วรรคสอง ตามความในมาตรา 150 (5) และนอกจากนี้ ผมยังมีความเห็นว่า "การเรียกเก็บ" คือ เรียกให้ส่งมอบ ไม่ใช่การฉกเอา ฉวยเอา หากผู้ขับขี่ไม่ยินยอมเจ้าพนักงานก็ไม่น่าจะมีอำนาจถึงขั้นดึงเอาไปจากผู้ขับขี่ได้


               แล้วหากไม่ยอมส่งมอบจะเป็นการขัดคำสั่งเจ้าพนักงานตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 368 หรือไม่ ?

               ในประเด็นนี้ ผมเห็นว่า การตีความกฎหมายซึ่งมีโทษทางอาญาต้องตีความอย่างเคร่งครัด และ ตามพจนานุกรม คำว่า “เรียก” ในกรณีนี้ มีความหมายว่า กำหนดเอา , ร้องเอา เช่น หมอเรียกค่ารักษาพยาบาล โจทก์เรียกค่าเสียหาย รัฐบาลเรียกเก็บภาษี กับ คำว่า “ยึด” ในกรณีนี้ มีความหมายว่า ใช้อำนาจรับสิ่งใดสิ่งหนึ่งมา เช่น ยึดใบขับขี่ ยึดทรัพย์ ผมเห็นว่าทั้งสองคำมีความหมายแตกต่างกันในเรื่องสภาพบังคับ ดังนี้ กรณีที่เจ้าพนักงานมีเพียงอำนาจเรียกเก็บใบอนุญาตขับขี่เท่านั้น จึงไม่อาจตีความว่าเป็นการออกคำสั่งโดยชอบตามกฎหมายได้ และนอกจากนี้ หากเป็นกรณีความผิดฐานการขัดคำสั่งที่ พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 ได้กำหนดบทลงโทษไว้โดยเฉพาะแล้วก็จะไม่เป็น ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 368 อีก ดังคำพิพากษาศาลฎีกาเรื่องต่อไปนี้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 728/2502
                การที่จำเลยไม่ไปรายงานตนตามคำสั่งของเจ้าพนักงานจราจรนั้นไม่เป็นความผิดฐานขัดคำสั่งเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 368 อันเป็นบทกฎหมายทั่วไป เพราะ พระราชบัญญัติจราจรทางบกได้บัญญัติไว้เป็นพิเศษใน มาตรา 64 และ 67 ซึ่งอยู่ในส่วนที่ว่าด้วยบทกำหนดโทษ ว่า ถ้าจำเลยไม่ไปตามคำสั่งของเจ้าพนักงานจราจรดังกล่าว ห้ามมิให้เปรียบเทียบ ให้จัดการฟ้องจำเลยไปทีเดียว อันเป็นบทลงโทษจำเลยอยู่แล้ว (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 10/2502)

***อย่างไรก็ตาม ความเห็นต่างๆในโพสต์นี้เป็นเพียงความเห็นโดยส่วนตัวของผมเท่านั้น ซึ่งหากจะให้เป็นที่ยุติจำต้องศึกษาจากคำพิพากษาศาลฎีกาในเรื่องที่เกี่ยวข้องต่อไปครับ

หวังว่าจะเป็นประโยชน์แก่ท่านผู้อ่านไม่มากก็น้อย ซึ่งหากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามเข้ามาได้ และช่วยกันเผยแพร่ให้เป็นความรู้แก่บุคคลทั่วไปครับ

ที่ปรึกษากฎหมาย นิติ ลอว์
#ปรึกษากฎหมาย #ยึดใบขับขี่

วันอาทิตย์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2559

ค้าขายออนไลน์ (E-Commerce) สร้างความน่าเชื่อถือได้ง่ายๆโดยไม่ต้องแสดงบัตรประชาชน


   จบไปด้วยดีกับกรณีพ่อค้าประดับยนต์ที่ถูกมิจฉาชีพหลอกให้ส่งมอบภาพถ่ายสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนและนำไปสู่การฉ้อฉลต่างๆ จนเป็นเหตุให้เงินในบัญชีของเขาต้องสูญไป  โดยกว่าที่ทางธนาคารจะตกลงยอมคืนเงินให้ก็ต้องมีการป่าวประกาศไปยังที่ต่างๆจนเกิดแรงกระเพิ่มของสังคมมากดดันให้ทางธนาคารต้องออกมารับผิดชอบ ซึ่งเท่าทราบกรณีของพ่อค้ารายนี้นั้นไม่ใช่กรณีแรก และเรื่องแบบนี้ก็ยังคงเกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง 




             ที่นี้เรามาลองค่อยๆคิดดูกันว่า อะไรคือสาเหตุที่มิจฉาชีพมองเห็นช่องทางทำกิน(บนหลังคนดี)

             ในเบื้องต้นเราเห็นแล้วว่า คนร้ายแฝงตัวทำทีโทรมาคุยเพื่อขอซื้อสินค้า  ซึ่งเราก็พ่อค้าธรรมดาๆ อยากขายสิ้นค้าออกไป จึงเจรจาเรื่องการซื้อขายกัน  จากนั้นคนร้ายก็ให้ยืนยันตัวบุคคล โดยวิธีการส่งสำเนาบัตรประชาชนไปให้ ซึ่งเป็นวิธีที่นิยมทำกัน คนร้ายจึงได้รับสำเนาเอกสารประจำตัวของเราไปในขั้นตอนนี้เอง  แล้วก็ไปใช้ช่องทางต่างๆจนได้เงินจากบัญชีธนาคารของพ่อค้ารายนี้ไปจำนวนมาก

                 จุดผิดพลาดอยู่ตรงไหนครับ ? 

               จุดผิดพลาดอยู่ที่ การส่งมอบสำเนา(ภาพถ่าย)บัตรประจำตัวประชาชนนั้นเอง  ซึ่งวิธีนี้ ผมได้แนะนำผู้ประกอบการออนไลน์ที่ผมดูแลอยู่ว่า"ห้ามทำเด็ดขาด" เพราะอาจตกไปเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพได้ง่ายๆ   ซึ่งแน่นอนครับว่า เมื่อที่ปรึกษากฎหมายบอกว่าไม่ควรทำ ย่อมมีคำถามตามกลับมาเสมอว่า  “ถ้าเช่นนั้นจะทำอย่างไรให้ลูกค้าเชื่อถือได้และปลอดภัยไม่เสี่ยงถูกหลอกลวง”  

               "วิธีในเบื้องต้นที่ผมจะแนะนำ"

               หากกิจการของท่านได้ทำขึ้นแบบเป็นจริงเป็นจังแล้ว ก็ต้องทำตัวให้ถูกกฎหมายด้วย นั้นก็คือ ไปจดทะเบียนการค้า(จดทะเบียนพาณิชย์ )เสียให้ถูกต้องครับ  

               จากที่เล่ามาถึงตอนนี้ ผู้รับบริการบางท่านก็พอเข้าใจ บางท่านก็ยัง งง ๆ   ว่าความน่าเชื่อถือมันเกี่ยวอะไรกันกับเรื่องทะเบียนพาณิชย์   

               "เกี่ยวสิครับ"  เกี่ยวมากๆด้วย ก็เพราะ ผู้ที่ทำการค้าไม่ว่าจะมีหน้าร้านจริงๆหรือเป็นแบบหน้าร้านเสมือนจริง ซึ่งอยู่ในโลกออนไลน์นั้น สิ่งสำคัญที่สุดประการหนึ่งของการทำการค้าขายก็คือ ความน่าเชื่อถือ  โดยในประเด็นนี้ผมคงไม่ต้องอธิบายต่อนะครับเพราะคนทำการค้าย่อมทราบดี    

                แล้วการจดทะเบียนพาณิชย์   จะช่วยให้เรามีความน่าเชื่อถือได้อย่างไร ?

               ช่วยได้แน่นอนครับ   แต่ก่อนจะไปถึงตรงนั้น ผมขอทำความเข้าใจกับทุกท่านก่อนครับว่า  พ่อค้าแม่ขายทั้งหลาย ไม่ว่าจะรายเล็กหรือรายใหญ่ ที่ค้าขายอยู่บนโลกออนไลน์ หรือ ที่เรียกว่า E-Commerce นั้น  และมีที่ตั้งสำนักงานอยู่ในประเทศไทย  ถือว่าเป็นผู้ประกอบพาณิชยกิจทุกคนและต้องจดทะเบียนพาณิชย์ด้วย   ตามประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง ให้ผู้ประกอบพาณิชยกิจต้องจดทะเบียนพาณิชย์ (ฉบับที่ 11) พ.ศ. 2553 (ลงวันที่ 10 พฤศจิกายน2553)    และถ้าผู้ประกอบการรายใดฝ่าฝืนจะมีโทษปรับไม่เกิน  2,000 บาท และปรับรายวันเพิ่มอีกไม่เกินวันละ 100 บาท จนกว่าจะจดทะเบียนให้ถูกต้อง ดังนั้น อย่างน้อยเมื่อคุณคิดทำการค้าแบบจริงจังแล้ว ก็ต้องไปจดทะเบียนพาณิชย์ เสียให้ถูกต้องนะครับ  

               ประการต่อมาที่ว่าการจดทะเบียนพาณิชย์   จะสร้างความน่าเชื่อถือให้กับ E-Commerce  ได้อย่างไรนั้น  ผมขออธิบายดังนี้   ในการทำการค้าแบบปกติที่มีหน้าร้านหรือที่ตั้งสำนักงานเป็นอาคารสถานที่จริงๆนั้น   ลูกค้าย่อมเข้าถึงและตรวจสอบตัวตนของผู้ประกอบการได้โดยง่าย   แต่ E-Commerce  นั้นมีกลุ่มลูกค้าได้จากหลายทาง และอาจอยู่ห่างไกลกันมากๆ โดยอาศัยการเชื่อมโยงระบบอินเทอร์เน็ทเข้าด้วนกัน ทำให้ฐานลูกค้ากว้างขึ้น ซึ่งเป็นจุดดีของการการค้าแบบ E-Commerce   แต่ในเวลาเดียวกันสิ่งนี้ก็เป็นจุดด้อยของ E-Commerce   ด้วยเช่นกัน  เนื่องจากขาดความน่าเชื่อถือนั่นเอง  เพราพเหมือนไม่มีตัวตนให้จับต้องได้  ตรงนี้หละครับที่ทะเบียนพาณิชย์เข้ามามีบทบาทและทำให้กิจการของคุณมีความน่าเชื่อถือยิ่งขึ้น  เพราะลูกค้าจะสามารถตรวจสอบการมีตัวตนของ E-Commerce  รายนี้ได้โดยง่ายจากทะเบียนพาณิชย์นั้นเอง    และนอกจากนี้  หาก E-Commerce    รายใดได้จะทะเบียนพาณิชย์ ถูกต้องแล้วก็มีสิทธิ์ที่จะขอรับเครื่องหมาย  DBD Registered     ได้อีกด้วย โดยนำเครื่องหมาย  DBD Registered    มาแสดงในหน้าร้านค้าออนไลน์ของตน เพื่อเป็นการยืนยันตัวบุคคลได้เป็นอย่างดียิ่งขึ้นไปอีก   ซึ่งผมกลับเห็นว่าจะมีความน่าเชื่อถือเสียยิ่งกว่าภาพบัตรประจำตัวประชาชนอีกด้วยครับ 

                การจดทะเบียนพาณิชย์ยากหรือไม่ ?

             วิธีการนั้นง่ายแสนง่ายและสะดวกรวดเร็ว ผู้ประกอบการสามารถดำเนินการได้ด้วยตัวเองครับ       ทั้งนี้ ดูที่ว่าที่ตั้งสำนักงานของท่านตั้งอยู่ที่ใดก็ไปจดที่นั่น เช่น  อยู่ในเขตกรุงเทพมหานครก็ สามารถยื่นขอจดทะเบียนได้ที่ ฝ่ายปกครองสำนักงานเขตท้องที่ หรือ ที่สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง สำนักการคลัง กรุงเทพมหานคร  ส่วนผู้ประกอบการที่อยู่ต่างจังหวัด สามรถยื่นขอจดทะเบียนได้ที่  เทศบาล  องค์การบริหารส่วนตำบล หรือ เมืองพัทยา เป็นต้น 

               กิจการ E-Commerce ที่ต้องจดทะเบียนมีดังนี้ครับ
  1.  กิจการซื้อ/ขายสินค้าหรือให้บริการโดยใช้สื่ออีเล็กทรอนิกส์ ผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ท   เช่น ร้านค้าในเว็บไซต์สื่อกลางการติดต่อซื้อ / ขาย(E-Marketplace)  หรือร้านค้าในสังคมออนไลน์ (Social Media) เป็นต้น
  2. ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ท  ( Internet Service Provider : ISP)
  3. ผู้ให้เช่าพื้นที่ของเครื่องคอมพิวเตอร์แม่ข่าย (Web Hosting)
  4. ผู้ให้บริการตลาดกลางในการซื้อ/ขายสินค้าโดยผ่านระบบอิทเทอร์เน็ท (E-Marketplace) 


          เมื่อผู้ประกอบการ E-Commerce ได้จดทะเบียนพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์แล้ว ก็มีสิทธิยื่นขอรับเครื่องหมาย  DBD Registered ดังที่กล่าวมาแล้ว ทั้งนี้  เพื่อยืนยันการมีตัวตนของผู้ประกอบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ที่ได้จดทะเบียนพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์แล้วนั้นเอง

              เพียงเท่านี้ร้านค้าของท่านก็จะมีความน่าเชื่อถือได้โดยไม่ต้องกังวลว่าจะถูกมิจฉาชีพหลอกลวงได้ง่ายๆอีกต่อไป และที่สำคัญยังเป็นการทำถูกกฎหมายอีกด้วยครับ


ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเรื่อง ทะเบียนพาณิชย์ (บุคลธรรมดา/นิติบุคคล)

ศึกษาข้อมูล การขอรับเครื่องหมาย DBD Registered

              หวังว่าจะเป็นประโยชน์แก่ท่านผู้อ่านไม่มากก็น้อย ซึ่งหากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามเข้ามาได้ และช่วยกันเผยแพร่ให้เป็นความรู้แก่บุคคลทั่วไปครับ

ที่ปรึกษากฎหมาย นิติ ลอว์


#ทนายความ
#ปรึกษากฎหมาย #ซื้อขายออนไลน์

วันพุธที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2559

วิเคราะห์ข้อสงสัย ทำไม บริษัทประกันจึงปฏิเสธการชำระเงินตามกรมธรรม์ประกันชีวิตได้


เรื่องนี้ไม่ต้องเกริ่นกันให้ยืดยาว ปัญหาข้อสงสัยเรื่องการทำประกันชีวิตได้กลับมาเป็นประเด็นสนทนากันในสังคม(ออนไลน์)กันอย่างต่อเนื่อง  วันนี้เรามาลองวิเคราะห์หาสาเหตุกันว่า ทำไม บริษัทประกันต่างๆจึงมีหนังสือบอกล้างกรมธรรม์ประกันชีวิตและชำระเงินเพียงเบี้ยประกันที่ได้ส่งไปแล้วหลังหักค่าใช้จ่าย หรือหนี้สิน (ถ้ามี) คืนให้แก่ผู้เอาประกันหรือทายาท ดังที่เป็นข่าวอยู่นั้น

ก่อนที่จะไปถึงตัวข้อกฎหมายประกันภัย  เรามาทำความเข้าใจกันในเบื้องต้นก่อนว่า  การทำสัญญาประกันชีวิตนั้น ก็คือ การทำนิติกรรมอย่างหนึ่งตามกฎหมาย ซึ่งอยู่ภายใต้กรอบความสมบูรณ์ของนิติกรรมด้วย   กล่าวคือ  การทำนิติกรรมที่จะมีผลบังคับได้สมบูรณ์นั้น นิติกรรมดังกล่าว จะต้องไม่ตกเป็น โมฆะ (สูญเปล่า) หรือ โมฆียะ (ไม่สมบูรณ์) ด้วย   ดังนี้ หากนิติกรรมนั้นตกเป็นโมฆะก็มีผลเท่ากับไม่มีนิติกรรมใดหลงเหลืออยู่เลยเพราะมันสูญเปล่าไปนั่นเอง   ส่วนนิติกรรมที่ตกเป็นโมฆียะนั้นต่างออกไป  คือ  ยังคงมีตัวนิติกรรมหลงเหลืออยู่  หากแต่ยังไม่ถือว่านิติกรรมนั้นสมบูรณ์แล้ว  ซึ่งมีผลทำให้คู่สัญญาสามารถเลือกใช้สิทธิ “บอกล้าง”  คือ  ทำให้เป็นโมฆะ หรือ “ให้สัตยาบัน”  คือ ทำให้นิติกรรมนั้นสมบูรณ์ เสียก็ได้

                 ทีนี้เรามาดูกันว่า  เหตุใดบริษัทประกันจึงไม่ต้องจ่ายเงินตามกรมธรรม์ประกันได้ ?

 
               สืบเนื่องจากการทำประกันชีวิตนั้น เป็นเรื่องสำคัญและมีผลกระทบต่อคู่สัญญาตลอดจนผู้รับผลประโยชน์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอก  กฎหมายจึงกำหนดหลักในการทำสัญญาประกันภัยต่อกันไว้ เพื่อไม่ให้เกิดข้อได้เปรียบเสียเปรียบต่อกัน  โดยมีหลักการว่าในขณะทำสัญญาประกันภัย ผู้เอาประกันภัยก็ดี หรือในกรณีประกันชีวิต บุคคลอันการใช้เงินย่อมอาศัยความทรงชีพหรือมรณะของเขานั้นก็ดี  “รู้อยู่แล้วละเว้นเสียไม่เปิดเผยข้อความจริง”  ซึ่งอาจจะได้จูงใจผู้รับประกันภัยให้เรียกเบี้ยประกันภัยสูงขึ้นอีก หรือ ให้บอกปัดไม่ยอมทำสัญญา หรือว่ารู้อยู่แล้วได้แถลงข้อความนั้น “เป็นความเท็จ”  ซึ่งกฎหมายได้ระบุว่า ให้สัญญาประกันภัย หรือประกันชีวิตนั้น ตกเป็นโมฆียะ  ทั้งนี้ เป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 865  วรรคแรก   ซึ่งจะเห็นได้ว่า กฎหมายได้กำหนดให้เป็นหน้าที่ของผู้ที่จะทำประกันชีวิตว่า “ต้องแจ้งข้อเท็จจริงอันสำคัญ”  ที่อาจทำให้บริษัทประกันจะตัดสินใจเรียกเบี้ยประกันสูงขึ้น หรือ ปฏิเสธไม่ทำสัญญาด้วย  และกฎหมายไม่ได้กำหนดข้อยกเว้นให้ไม่ต้องบอกกล่าวข้อเท็จจริงนี้ไว้  ดังนี้ ถึงแม้ว่าบริษัทประกันจะแจ้งว่า "ไม่ต้องตอบคำถาม" หรือ "จะไม่ถามคำถาม" อันเกี่ยวกับข้อเท็จจริงดังกล่าวก็ตาม  ผู้เอาประกันภัย(คนที่จะทำสัญญาประกันภัย) ก็ยังคงมีหน้าที่ต้องบอกข้อเท็จจริงดังกล่าวอยู่ดี หากละเลยก็จะมีผลทำให้สัญญาตกเป็นโมฆียะ  ซึ่งข้อเท็จจริงที่สำคัญนี้ได้แก่  ข้อเท็จจริงเรื่องปัญหาสุขภาพ หรือความประพฤติเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพได้ เช่น มีโรคประจำตัว  เป็นคนสูบบุหรี่ หรือ ดื่มสุราเป็นประจำ  เป็นต้น

                 จากหลักกฎหมายดังกล่าวจึงบอกได้ว่า ทำไมบริษัทประกันภัยจึงยกเอาการที่ผู้เอาประกันละเลยไม่บอกข้อเท็จจริงเกี่ยวกับปัญหาสุขภาพมาเป็นเหตุในการบอกล้างสัญญาประกันชีวิตได้   โดยในประเด็นนี้หากตกลงกันไม่ได้ก็ต้องไปให้ศาลวินิจฉัยต่อไป โดยผู้เอาประกันภัยหรือทายาทก็ต้องพิสูจน์ให้ศาลเห็นได้ว่า บริษัทประกัน ซึ่งเป็นผู้รับประกันภัยนั้น ทราบเหตุสำคัญดังกล่าวอยู่แต่ต้นแล้วยังคงทำสัญญาประกันภัยด้วย หรือไม่ก็ต้องพิสูจน์ให้เห็นได้ว่า เหตุดังกล่าวไม่ใช่เหตุที่จะจูงใจผู้รับประกันภัยเรียกเบี้ยประกันภัยสูงขึ้นอีก หรือให้บอกปัดไม่ยอมทำสัญญา

...................................................

                 คำถามต่อมาคือ บริษัทประกันจะใช้สิทธิบอกล้างสัญญาได้เมื่อใด ?


                ในประเด็นนี้กฎหมายวางหลักไว้ว่า ถ้าผู้รับประกันภัยไม่ได้ใช้สิทธิบอกล้างภายในหนึ่งเดือนนับแต่วันที่ผู้รับประกันภัยทราบมูลเหตุอันจะบอกล้างได้ หรือไม่ได้ใช้สิทธินั้นภายในกำหนดห้าปีนับแต่วันทำสัญญา  สิทธินั้นเป็นอันระงับสิ้นไป  ทั้งนี้เป็นไปตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 865 วรรคสอง 

                จากข้อกฎหมายดังกล่าว ทำให้สรุปความได้ว่าสิทธิของบริษัทประกันนั้นมีสองระยะ คือ หนึ่งเดือนนับแต่รู้เหตุ ซึ่งถ้าบริษัทประกันละเลยทั้งที่รู้เหตุก็มีผลเท่ากับว่าได้ให้สัตยาบันกับสัญญารายนี้แล้ว  กับอีกกรณีคือ  ภายในห้าปีนับแต่ทำสัญญา ซึ่งในกรณีหลังนี้กฎหมายดูว่าเวลาได้ผ่านมานานถึงห้าปีแล้วผู้เอาประกันก็ยังคงมีชีวิตอยู่ได้ ข้อเท็จที่ปิดบังไว้ดังกล่าวจึงไม่ใช่เหตุสำคัญที่จะยกขึ้นมาเพื่อบอกล้างสำหรับผู้เอาประกันรายนี้ได้อีกต่อไป

...................................................

                 แล้วเช่นนี้ ถ้าในขณะทำสัญญาประกันชีวิตเราได้แจ้งข้อเท็จจริงเรื่องสุขภาพ หรือความประพฤติไม่ดีของตัวเรากับนายหน้าประกันชีวิตแล้ว จะถือว่าผู้รับประกันได้ทราบข้อเท็จจริงอันสำคัญอยู่แล้วหรือไม่ ?

ในเรื่องนี้ เคยเป็นคดีและศาลฎีกาได้ตัดสินไว้แล้วว่า หากตัวแทนดังกล่าวไม่ใช่ตัวแทนของบริษัทประกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ จะถือว่าบริษัทประกันได้ทราบข้อเท็จจริงดังกล่าวด้วยไม่ได้

                ใครคือตัวแทนหรือใครคือนายหน้าประกันชีวิตดูได้อย่างไร ?

ดูได้ตามนี้ครับ 

“ตัวแทนประกันชีวิต”  คือ  ผู้ซึ่งบริษัทมอบหมายให้ทำการชักชวนให้บุคคล “ทำสัญญา” ประกันชีวิตกับบริษัท

“นายหน้าประกันชีวิต” คือ  “ผู้ชี้ช่องหรือจัดการ” ให้บุคคลเข้าทำสัญญาประกันชีวิตกับบริษัท โดยกระทำเพื่อบำเหน็จเนื่องจากการนั้น

                และประเด็นนี้ยังมีหลักกฎหมายต่อไปว่า ตัวแทนประกันชีวิตอาจทำสัญญาประกันชีวิตในนามของบริษัทได้ “เมื่อได้รับหนังสือมอบอำนาจจากบริษัท”  ส่วนนายหน้าประกันชีวิตหรือพนักงานของบริษัทซึ่งมีหน้าที่เกี่ยวกับการรับเงินอาจรับเบี้ยประกันภัยในนามของบริษัทได้ เมื่อได้รับหนังสือมอบอำนาจจากบริษัท     ทั้งนี้เป็นไปตาม พระราชบัญญัติประกันชีวิต พ.ศ.2535 มาตรา 5 และมาตรา 71

               จากข้อกฎหมายดังกล่าวจึงเห็นได้ว่า มีเพียงตัวแทนประกันชีวิตเท่านั้น ที่กฎหมายอนุญาตให้ผู้รับประกันภัย สามารถมอบอำนาจเป็นหนังสือให้ทำสัญญาประกันภัยได้เท่านั้น   ส่วนนายหน้าหรือพนักงานอื่นไม่อาจได้รับมอบอำนาจให้ทำสัญญาประกันภัยได้ตามกฎหมาย  ดังนั้น หากท่านจะทำสัญญาประกันชีวิตและต้องการแจ้งข้อเท็จจริงอันสำคัญดังกล่าวให้มีผลตามกฎหมาย จึงต้องกระทำต่อบริษัทประกันภัยโดยตรง  หรือ  มิเช่นนั้นก็ต้องกระทำต่อตัวแทนประกันชีวิตซึ่งได้รับมอบอำนาจเป็นหนังสือให้ทำสัญญาประกันชีวิตแทนบริษัทได้เท่านั้นจึงจะมีผลตามกฎหมาย  ทั้งนี้ เป็นไปตามแนวคำพิพากษาศาลฎีกาต่อไปนี้ครับ

...................................................

คำพิพากษาศาลฎีกาที่  1333/2551

ช. เป็นตัวแทนในการหาผู้เอาประกันมีหน้าที่ชักชวนให้ผู้อื่นมาทำสัญญาประกันชีวิตกับจำเลย ไม่ใช่ตัวแทนในการทำสัญญาประกันชีวิตของจำเลยตามพระราชบัญญัติประกันชีวิต พ.ศ.2535 มาตรา 5 และมาตรา 71 จึงไม่ใช่ตัวแทนของจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ การที่ ช. ได้ทราบหรือควรจะทราบข้อความจริงขณะทำหนังสือรับรองสุขภาพว่า ส. เคยป่วยเป็นโรคตับอักเสบและมีอาการแน่นหน้าอกเนื่องจากดื่มสุรามากได้รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล จะถือว่าจำเลยได้ทราบความจริงดังกล่าวด้วยหาได้ไม่

         
ส. รู้อยู่ว่าตนเป็นโรคตับอักเสบแต่ละเว้นไม่เปิดเผยข้อความจริงที่อาจจูงใจให้จำเลยปฏิเสธไม่ทำสัญญาหรือเรียกเบี้ยประกันสูงขึ้นย่อมทำให้สัญญาประกันชีวิตระหว่าง ส. กับจำเลยเป็นโมฆียะตาม ป.พ.พ. มาตรา 865 วรรคหนึ่ง

...................................................


                 หวังว่าจะเป็นประโยชน์แก่ท่านผู้อ่านไม่มากก็น้อย ซึ่งหากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามเข้ามาได้ และช่วยกันเผยแพร่ให้เป็นความรู้แก่บุคคลทั่วไปครับ

ที่ปรึกษากฎหมาย นิติ ลอว์

#ปรึกษากฎหมาย  #ประกันชีวิต