วันอังคารที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2557

ประนีประนอมโดยไม่เรียกผู้ค้ำประกันมาร่วมด้วย เจ้าหนี้ใช้สิทธิเรียกร้องกับผู้ค้ำประกันไม่ได้

               การทำสัญญาประนีประนอมยอมความคือการผ่อนปรนสิทธิที่มีต่อกันอยู่เดิม แล้วมายึดถือสิทธิตามสัญญาประนีประนอมยอมความที่ทำขึ้นใหม่แทน และด้วยการสละสิทธิที่มีอยู่เดิมนี้ข้อเรียกร้องต่างๆที่มีอยู่เดิมนั้นจึงสิ้นผลตามไป ซึ่งรวมถึงสัญญาค้ำประกันด้วย ดังนั้น หากในสัญญาเดิมมีผู้ค้ำประกันแต่เจ้าหนี้ไม่เรียกให้ผู้ค้ำประกันเข้ามาทำสัญญาประนีประนอมยอมความด้วยแล้ว สัญญาประนีประนอมนั้นจึงไม่ผูกพันผู้ค้ำประกัน

                เรื่องนี้เป็นกรณีสำคัญที่เจ้าหนี้ต้องพึงระมัดระวัง มิเช่นนั้นหลักประกันที่เจ้าหนี้เคยยึดถือไว้จะไม่อาจใช้สิทธิ์บังคับเอากับผู้ค้ำประกันได้ครับ

วันเสาร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2557

ลายน้ำบนภาพ และ การแชร์ภาพบนโซเชียลมีเดียกับประเด็นการละเมิดลิขสิทธิ์ภาพ

               เริ่มแรกที่ผมได้รับคำถามมาเกี่ยวกับลิขสิทธิ์ในภาพถ่ายซึ่งได้มีการนำขึ้นโพสต์กันในสื่อโซเชียลมีเดียต่างๆอย่างเปิดเผย ผมเลยตั้งใจว่าจะพูดในเรื่องลิขสิทธิ์ภาพแบบครอบคลุมตั้งแต่เริ่มต้นจนจบ แต่เนื่องจากยิ่งเขียนยิ่งยาวเกรงจะไม่อ่านกัน ในครั้งนี้จึงขอพูดถึงเพียงประเด็นที่ถามมาเท่านั้นแล้วในครั้งต่อๆไปจะนำในส่วนอื่นมาเพิ่มเติมให้ครับ

                คำถามมีว่า จำเป็นหรือไม่ที่จะต้องลงลายเซ็น(ลายน้ำ)กำกับไว้ในภาพที่เราถ่ายแล้วจึงนำมาโพสต์ในโซเชียลมีเดีย(ที่จริงถามเพียงFacebook) ถึงจะทำให้ผู้อื่นนำไปใช้ไม่ได้
                เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผู้ถามกังวลว่าภาพของตนจะมีคนเอาไปใช้โดยไม่ยินยอมเพราะไม่อาจป้องกันการทำซ้ำภาพได้ (โดยระบบและเทคโนโลยียากที่จะป้องกัน)  
                มาเริ่มกันเลยครับ การถ่ายภาพคือการสร้างสรรค์งานศิลปกรรมอย่างหนึ่งซึ่งมีลิขสิทธิ์ตามกฎหมายของไทย ผู้ถ่ายภาพคือ ผู้สร้างสรรค์ผลงานและได้ไปซึ่งลิขสิทธิ์ในภาพที่ถ่ายออกมานั้นทันทีโดยไม่จำต้องไปจดทะเบียน เว้นแต่ ภาพถ่ายนั้นเป็นภาพที่รับจ้างถ่ายผู้ว่าจ้างจะเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ (วิธีแก้ไขเอาไว้ครั้งหน้าครับ)และผมขอทำความเข้าใจก่อนว่าการนำภาพต่างๆมาแสดงไว้ในที่สื่อโซเชียลมีเดียใดนั้น ต้องดูเงื่อนไขที่เจ้าของระบบได้ตั้งขึ้นและผู้ใช้ได้ตกลงยินยอมไว้ตั้งแต่ตอนสมัครเข้าใช้งานหรือ ที่ได้ปรับปรุงขึ้นใหม่ด้วย หากมีข้อตกลงในทำนองว่าให้เจ้าของระบบและหรือผู้เข้าชมสามารถทำซ้ำ และหรือ นำไปใช้ได้ด้วย เช่นนี้ คงห้ามการนำไปใช้ต่อได้ยากหน่อย แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะหมดหนทางป้องกันเสียทีเดียว หนึ่งในวิธีที่นิยมกันคือการลงลายน้ำบนภาพที่นำขึ้นแสดง เพราะลายน้ำจะติดไปกับภาพเมื่อมีคนนำภาพของเราไปแสดงต่อผู้ชมก็จะเห็นลายน้ำของเจ้าของภาพด้วย แต่ท่านจะเห็นว่าในเพจที่ปรึกษากฎหมาย นิติ ลอว์ นี้ บางภาพก็มีลายน้ำบางภาพก็ไม่มี เหตุผลเพราะในทางกฎหมายแล้วมันไม่จำเป็นครับ จะมีหรือไม่ เจ้าของภาพก็ยังคงมีลิขสิทธิ์ในภาพนั้นอยู่ดี แต่การมีลายน้ำก็เป็นประโยชน์อย่างที่กล่าวไปแล้วข้างต้น คำตอบของคำถามนี้คือ มีดีกว่าไม่มีครับ

               



               ทีนี้มาถึงเรื่องการแชร์ภาพ เนื่องจากหลายโซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะ Facebook มีคำสั่ง “แชร์” ซึ่งสามารถส่งต่อภาพของเราโดยผู้ใช้งาน Facebook คนอื่นได้ การแชร์ไปยังหน้าเพจต่างๆนั้นเป็นการเผยแพร่ตามกฎหมาย จะมีความผิดหรือไม่ ผมเห็นว่าไม่ผิด เพราะเป็นการให้อนุญาตไว้ล่วงหน้า หรือ โดยปริยายแล้ว อีกทั้ง การแชร์ คือส่วนสำคัญของ โซเชียลมีเดียสังคมที่เน้นการแบ่งปันข้อมูลข่าวสารต่างๆ และเจ้าของภาพยังต้องยอมรับเงื่อนไขของการแบ่งปันข้อมูลนี้ก่อนที่จะลงทะเบียนเข้าใช้ระบบครั้งแรกและยังมีที่ปรับปรุงขึ้นมาใหม่เป็นระยะๆด้วย อีกทั้งการแชร์ไปนั้นระบบจะระบุที่มาของภาพว่ามาจาก Facebook ของใคร ไม่ทำให้ผู้อื่นเข้าใจว่าผู้แชร์เป็นเจ้าของภาพ แต่ถ้ามีการทำซ้ำภาพ และหรือ แก้ไขภาพทั้งหมดหรือแต่งส่วนหนึ่งส่วนใด แล้วนำไปโพสต์อ้างว่าเป็นภาพของตน หรือนำไปเผยแพร่โดยเจตนาให้ผู้อื่นเข้าใจว่าเป็นผลงานของตน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทางการค้า หรือการสนับสนุนการค้าหรือหากำไร เช่นนี้ เป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ชัดเจน มีความผิดตามกฎหมายและ เรียกค่าเสียหายได้ครับ แต่ถึงแม้จะมีการยินยอมอยู่ในระดับหนึ่งแล้วก็ตาม การที่จะนำภาพของผู้อื่นไปใช้หรือเผยแพร่ต่อก็ควรแจ้งให้เจ้าของภาพได้ทราบ หรือให้เครดิตเจ้าของภาพไว้ด้วย จะได้ไม่ต้องมีปัญหากันภายหลังครับ

วันพฤหัสบดีที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2557

ผู้เสียหายในคดีอาญากับมาตรา 44/1

               หลายท่านคงเคยได้ยินได้ฟังมาบ้างเกี่ยวกับเรื่องของประมวลวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา44/1  ว่าคือการที่ผู้เสียหายในคดีอาญาใช้สิทธิ์ยื่นคำร้องขอต่อศาลชั้นต้นที่พิจารณาคดีอาญานั้น เพื่อเรียกร้องค่าเสียหาย อันเป็นสินไหมทดแทนจากจำเลยในคดี เพราะเหตุที่ได้กระทำความผิดขึ้นทำให้ผู้เสียหายได้รับความเสียหายต่างๆตามที่กฎหมายได้กำหนดไว้ ซึ่งกรณีประมวลวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 44/1 นี้ เป็นการใช้สิทธิเรียกค่าเสียหายทางหนึ่งโดยไม่ต้องนำเรื่องไปฟ้องจำเลยเป็นคดีแพ่งขึ้นต่างหากอีก เมื่อยื่นคำร้องแล้วศาลที่พิจารณาคดีอาญาก็จะมีอำนาจพิจารณาความเสียหายในส่วนแพ่งให้แก่ผู้เสียหายได้ในคราวเดียวกันไปและสามารถมีคำพิพากษาในส่วนแพ่งนี้ไปพร้อมกันกับคดีอาญาได้ แต่ต้องไม่ใช่กรณีที่พนักงานอัยการได้ใช้สิทธิเรียกทรัพย์สินหรือราคาแทนผู้เสียหาย ตามประมวลวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 43 ไว้แล้ว ซึ่งผู้เสียหายจะยื่นคำร้องเรียกเอาทรัพย์สินหรือราคาทรัพย์สินอีกไม่ได้

                โดยผู้เสียหายจะต้องยื่นคำร้องขอค่าเสียหายเข้ามาในคดีอาญาที่พิจารณา ก่อนที่ศาลจะได้มีการสืบพยาน หรือกรณีที่จำเลยรับสารภาพโดยไม่มีการสืบพยานนั้น ต้องยื่นคำร้องก่อนศาลอ่าน       คำพิพากษาซึ่งไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมอย่างคดีแพ่งทั่วไปครับ เว้นแต่ ศาลจะเห็นว่าที่ผู้เสียหายได้     เรียกค่าสินไหมทดแทนมานั้นสูงเกินส่วน(สูงเกินไป) หรือเป็นการใช้สิทธิดำเนินคดีมาโดยไม่สุจริต ศาลมีอำนาจสั่งให้ชำระค่าธรรมเนียมทั้งหมดหรือแต่บางส่วนได้

                เมื่อศาลรับคำร้องของผู้เสียหายแล้ว ศาลจะทำการพิจารณาคดีในส่วนแพ่งด้วย ทำนองเดียวกันกับคดีแพ่งทั่วไป คือ สืบพยาน หรือ เข้าสู่ขั้นตอนการไกล่เกลี่ยเพื่อหาข้อยุติในเรื่องของ       ค่าเสียหายก่อนสืบพยานก็ได้ ดังนั้น ผู้เสียหายจึงต้องเตรียมทนายความไปด้วย หรือหากไม่สามารถจัดหาทนายความไปได้ด้วยตนเอง ก็สามารถร้องขอให้ศาลตั้งทนายความให้ได้ครับ

วันอังคารที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2557

ซื้อขายสินค้า "บนอินเตอร์เน็ต" ถูกโกง ฟ้องได้หรือไม่


                เป็นอีกหนึ่งคำถามที่มีผู้สอบถามเข้ามาครับ ว่าตนได้สั่งซื้อสินค้าจากผู้ขายซึ่งได้ประกาศขายสินค้าอยู่ในบอร์ดซื้อขาย สินค้าของเว็บไซต์แห่งหนึ่ง โดยผู้ซื้อได้ชำระเงินผ่านบัญชีธนาคารให้แก่ผู้ประกาศขายสินค้าดังกล่าวตาม ที่ได้ตกลงกันไว้แล้ว แต่ผู้ประกาศขายสินค้ากลับไม่ส่งสินค้ามาให้ ผู้ซื้อได้ติดตามสอบถามทางโทรศัพท์ และได้ตั้งกระทู้ในห้องไกล่เกลี่ยข้อพิพาทของเว็บไว้ซต์ข้างต้นหลายวันแล้ว ก็ไม่มีความคืบหน้า ผู้ประกาศขายอ้างต่างๆนาๆและสรุปว่าให้ยกเลิกการซื้อขายและขอให้คืนเงินที่ รับไปเต็มจำนวน แต่เวลาได้ล่วงเลยมานานผู้ซื้อก็ไม่ได้รับเงินคืนกลับมาเสียที เช่นนี้จะฟ้องได้หรือไม่
                เรื่องการซื้อขายสินค้ากันบนบอร์ดซื้อขายสินค้าออนไลน์นั้นไม่ต่างกับการ ซื้อขายสินค้ากับแบบปกติกครับ กฎหมายที่ใช้ก็บทเดียวกัน แต่จะมีข้อกฎหมายเพิ่มเติมขึ้นมาอีก เช่น พระราชบัญญัติว่าด้วยธุรกรรมทางอิเลกทรอนิกส์ พ.ศ.2544 ซึ่งจะกำหนดให้การซื้อขายตลอดจนข้อตกลงที่ทำขึ้นในรูปแบบอิเลกทรอนิกส์นั้น เสมือนเป็นข้อมูลในรูปแบบเอกสาร กำหนดเรื่องวิธีการรับฟังพยานหลักฐานที่อยู่ในรูปแบบอิเลกทรอนิกส์เพื่อเป็น หลักฐานที่สามารถอ้างในการดำเนินคดีได้ และกำหนดวิธีการรับรองการรับส่งข้อมูลทางอิเลกทรอนิกส์ การลงชื่อเข้าระบบด้วยชื่อผู้ใช้และรหัสผ่านเป็นดั่งเสมือนลายมือชื่อของคน ปกติ ทั้งนี้ เพื่อใช้เป็นการยืนยันตัวบุคคลที่ทำธุรกรรมทางอิเลกทรอนิกส์นั้นได้ ดังนี้ การทำธุรกรรมทางอิเลกทรอนิกส์เมื่อมีข้อโต้แย้งกันเกิดขึ้นจึงสามารถฟ้อง ร้องดำเนินคดีกันได้ครับ
                แต่ก่อนจะทำการซื้อขายสินค้ากันจึงควรทำการตรวจสอบข้อมูลของคู่สัญญาตลอดจน สินค้าให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และท่านอาจใช้บริการคนกลางการซื้อขายสินค้าเพื่มเติมขึ้นอีกชั้นหนึ่งด้วยก็ ได้ เพื่อที่จะลดโอกาสที่จะต้องมาดำเนินคดีกันในภายหลังครับ

วันอาทิตย์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2557

บนโลกอินเตอร์เน็ตแม้เจตนาดีก็ต้องมีขอบเขตนะครับ

               จากครั้งก่อนที่ผมได้กล่าวถึงการโพสต์ข้อความบทอินเตอร์เน็ต ในหัวข้อ “นั่งโพสต์อยู่ดีๆอาจมีหมายศาลมาถึงได้” โดยเตือนให้พึงระวังถึงข้อกฎหมายเรื่องหมิ่นประมาทไว้ด้วยก่อนที่จะลงมือ โพสต์หรือแชร์สิ่งใดต่อๆกันไปอีก รายละเอียดตามลิ้งค์http://nitilawlegaladvisors.blogspot.com/2013/08/blog-post_23.html ซึ่งก็ได้มีข้อสอบถามเข้ามาพอสมควรไม่ว่าจะโพสต์ลง เฟสต์บุ๊ค หรือ เว็ปเพจ ต่างๆ โดยได้รับการสอบถามและมีการขยายความถึงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นจากหลายๆท่าน ต่อเนื่องมาตลอด คำถามที่ได้รับมาสรุปความได้ คือ สิ่งที่โพสต์หรือแชร์ไปนั้น จะผิดฐานหมิ่นประมาทหรือไม่ เอาเป็นว่าวันนี้มาลองยกตัวอย่างเพิ่มเติมกันอีกสักเรื่องซึ่งพบเห็นอยู่ บ่อยครั้งบนหน้าฟีดข่าวบนเฟสต์บุ๊ค

                ประเด็นวันนี้คือ การแชร์ข้อความเตือนภัยต่างๆที่เกิดจากการกระทำของบุคคล ว่ามีพฤติการณ์ที่ไม่ดี เป็นอันตราย โดย ลงรูปภาพบุคคล หรือรายละเอียดของบุคคลนั้นประกอบด้วย ตัวอย่างเช่น มีโพสต์อ้างว่าเตือนภัยคนในภาพไปกระทำการลักทรัพย์ของบุคคลอื่นมา ไปทำร้ายคนอื่นมา เป็นต้น ซึ่งเป็นเรื่องส่วนตัว โดยอาจจะมีรายละเอียด ชื่อ-สกุล ที่อยู่ หรือไม่ก็ตาม ที่แน่ๆบุคคลในภาพนั้นก็ได้รับความเสียหายเสียแล้วทั้งๆที่ เราก็ไม่รู้หลอกว่าความจริงแล้วคนในภาพจะกระทำสิ่งที่ปรากฏตามข้อความนั้น จริงหรือไม่ แต้ด้วยความจิตใจดีของคนไทยเรา มีความเป็นห่วงเป็นใยผู้อื่นเสมอ ด้วยเจตนาดีเลยกดแชร์โพสต์ดังกล่าวต่อเนื่องกันไป (บางครั้งก็มีมือบอนร่วมด้วย) ยิ่งทำให้บุคคลในภาพได้รับความเสียหายเป็นวงกว้างยิ่งขึ้น ทั้งๆขณะที่กดแชร์ไปนั้นท่านก็ยังไม่รู้เลยว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่

                บางท่านอ่านมาถึงตรงนี้อาจนึกแย้งว่าถ้าเป็นจริงหละ สิ่งที่โพสต์เป็นเรื่องจริงหละ? จะไม่เป็นการดีกว่าหรือถ้ามีการแจ้งเตือนกันไว้ก่อน ประเด็นนี้พูดกันมาเยอะ สู้คดีกันมาก็มาก(หากโพสต์นั้นไม่ใช่เรื่องส่วนตัวก็สามารถนำสืบต่อสู้คดี ได้ แต่ถ้าเป็นเรื่องส่วนตัวกฎหมายห้ามนำสืบต่อสู้คดีในข้อเท็จจริงนี้เลย) กฎหมายไม่ประสงค์ให้ใช้วิธีการตาต่อตาฟันต่อฟันเพื่อแก้แค้นเอาคืนกัน กฎหมายจึงกำหนดให้ไปดำเนินคดีเอาผิดและลงโทษ ตามกติกาของสังคมซึ่งมีวิธีการและบทลงโทษอยู่แล้ว ทั้งนี้เพื่อไม่ให้สังคมต้องยุ่งเหยิง เมื่อเกิดเรื่องขึ้นจริงต้องไปแจ้งความดำเนินคดีจะเป็นทางออกที่ดีกว่า

                การแชร์โพสต์ต่อๆกันไปก็เท่ากับว่าท่านได้ทำการเผยแพร่ข้อความอันทำให้ผู้ อื่นได้รับความเสียหาย อาจเป็นความผิดทางอาญาฐานหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา ตลอดจนเป็นการละเมิดทางแพ่งซึ่งท่านอาจถูกเรียกค่าเสียหายได้ ทั้งๆที่ไม่ใช่เรื่องที่ท่านมีส่วนได้เสียเกี่ยวข้องด้วยเลย

เตือนใจสักนิดก่อนคิดแชร์สิ่งใดครับ

เหตุเนื่องจากการกดเงินผ่านบัตรเครดิต/อายุความ/โอนสิทธิเรียกร้อง

               จากคำถาม ผมเป็นหนี้เงินกู้ผ่านบัตรเครดิต จะมีอายุความเท่าไหร่ และผมได้ตกลงกับธนาคารแล้วว่าจะผ่อนชำระเป็นจำนวน 10,000 บาท ต่อเดือน แต่ผมก็ส่งตามกำหนดได้เพียงสามเดือน นอกนั้นส่งไม่ถึงกำหนด10,000 บาท ต่อเดือน และไม่ได้ส่งอีกเลยมา 9 เดือนแล้ว ต่อมาเมื่อเดือนที่แล้วมีเอกสารจากบริษัทแห่งหนึ่ง เนื้อความบอกว่า ได้รับโอนสิทธิเรียงร้องของเจ้าหนี้มาแล้วและให้ลูกหนี้ชำระหนี้ทั้งหมดกับบริษัทแห่งนี้โดยไม่ต้องนำเงินไปชำระกับที่ธนาคารอีก เช่นนี้ในการชำระหนี้ผมจะต้องทำอย่างไรดี

                เบื้องต้นคงต้องทำความเข้าใจกันก่อนครับว่าการกู้เงินกับการใช้เงินผ่านบัตรเครดิตนั้นมีจุดต่างกันอยู่ซึ่งเป็นผลไปถึงเรื่องของอายุความฟ้องคดีด้วย เพราะถ้าเป็นการกู้เงินอายุความ 10 ปี หากเป็นการใช้บริการผ่านบัตรตามสัญญาก็จะมีอายุความ 2 ปี หรือ 5 ปี ตามประเภทการใช้บริการบัตร ในที่นี่หากเป็นการที่ผู้ถือบัตรทำการกดเงินสดผ่านบัตรซึ่งเป็นบริการอย่างหนึ่งของบัตรที่ธนาคารตกลงกับผู้ใช้บัตรไว้ ไม่ถือเป็นการกู้เงินครับ อายุความคงมีเพียง 2 ปี จากคำถามลูกหนี้ขาดส่งเงินเพียง 9 เดือน จึงเห็นได้ว่าหนี้รายนี้ยังไม่ขาดอายุความ และเพื่อความเข้าใจที่ชัดเจนลองมาดูตัวอย่างคำตัดสินของศาลฎีกาครับ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3101/2551
ที่โจทก์ฎีกาปัญหาข้อกฎหมายว่า จำเลยทั้งสองเบิกถอนเงินสดล่วงหน้าจากเครื่องฝากถอนเงินสดอัตโนมัติ เป็นการกู้ยืมเงินซึ่งมีอายุความ 10 ปี คดีโจทก์ยังไม่ขาดอายุความทั้งหมดนั้น เห็นว่า ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติตามคำฟ้องของโจทก์ว่า โจทก์ประกอบกิจการธนาคารพาณิชย์และประกอบธุรกิจให้บริการประเภทบัตรเครดิตแก่ลูกค้าซึ่งเป็นสมาชิกของโจทก์ โดยสมาชิกซึ่งรวมทั้งจำเลยทั้งสองสามารถนำบัตรเครดิตที่โจทก์ออกให้ไปใช้แทนเงินสดในการชำระค่าสินค้าและค่าบริการต่างๆ ให้แก่ร้านค้าหรือสถานบริการที่เป็นสมาชิกของโจทก์ เมื่อร้านค้าหรือสถานบริการเรียกเก็บเงินค่าสินค้าหรือค่าบริการจากการใช้บัตรเครดิตของจำเลยทั้งสองดังกล่าว โจทก์จะเป็นผู้ชำระเงินแทนจำเลยทั้งสองไปก่อนแล้วเรียกเก็บเงินจากจำเลยทั้งสองภายหลัง การประกอบธุรกิจของโจทก์ดังกล่าวมีลักษณะเป็นการทำกิจการงานให้บริการอำนวยความสะดวกแก่สมาชิกในการซื้อสินค้าและการใช้บริการ ส่วนการให้สมาชิกเบิกถอนเงินสดล่วงหน้าด้วยบัตรเครดิต ก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของการให้บริการอำนวยความสะดวกดังกล่าวซึ่งโจทก์ได้เรียกเก็บค่าธรรมเนียมและค่าบริการในการเบิกเงินสดล่วงหน้าด้วย โจทก์จึงเป็นผู้ประกอบธุรกิจรับทำการงานต่างๆ ให้แก่สมาชิก การที่โจทก์ได้ชำระเงินให้แก่เจ้าหนี้ของสมาชิกแทนสมาชิกไปก่อนก็ดี หรือให้สมาชิกเบิกถอนเงินสดล่วงหน้าแล้วเรียกเก็บเงินจากสมาชิกในภายหลังก็ดี ถือได้ว่าเป็นการเรียกเอาเงินที่โจทก์ได้ออกทดรองไป การฟ้องเรียกเงินทดรองของโจทก์จึงมีอายุความ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/34 (7) ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยปัญหานี้ชอบแล้ว”

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7610/2549
การที่จำเลยเปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันและทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีเฉพาะสินเชื่อธนวัฏบัตรเครดิตกับโจทก์ก็มีความประสงค์เพื่อการชำระหนี้ค่าสินค้าและบริการต่าง ๆ อันเกิดจากการใช้บัตรเครดิตรวมทั้งเพื่อถอนเงินสดจากบัญชีเงินฝากผ่านเครื่องถอนเงินอัตโนมัติ ซึ่งเป็นกิจกรรมเกี่ยวเนื่องจากการใช้บัตรเครดิตทั้งสิ้น ดังนั้น หนี้ในคดีนี้จึงไม่ใช่หนี้กู้เบิกเงินเกินบัญชีหรือหนี้บัญชีเดินสะพัดโดยตรง แต่เป็นการที่โจทก์ให้บริการการใช้บัตรเครดิตแก่จำเลยที่เป็นสมาชิกโดยเรียกเก็บค่าธรรมเนียม ถือได้ว่าโจทก์เป็นผู้ประกอบธุรกิจในการรับทำการงานต่าง ๆ ให้แก่สมาชิก เรียกเอาเงินที่ได้ออกทดรองไปก่อน สิทธิเรียกร้องโจทก์จึงมีอายุความ 2 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/34 (7)

               ประการต่อมาก็เรื่องการโอนสิทธิ์เรียกร้องสามารถทำได้หรือไม่
คำตอบคือสามารถทำได้ครับแต่มีเงื่อนไขตามหลักกฎหมายดังนี้ครับ
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
                มาตรา 303 สิทธิเรียกร้องนั้นท่านว่าจะพึงโอนกันได้ เว้นไว้แต่สภาพแห่งสิทธินั้นเองจะไม่เปิดช่องให้โอนกันได้

                ความที่กล่าวมานี้ย่อมไม่ใช้บังคับ หากคู่กรณีได้แสดงเจตนาเป็นอย่างอื่นการแสดงเจตนาเช่นว่านี้ ท่านห้ามมิให้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้กระทำการโดยสุจริต
...............................
                มาตรา 306 การโอนหนี้อันจะพึงต้องชำระแก่เจ้าหนี้คนหนึ่งโดยเฉพาะเจาะจงนั้นถ้าไม่ทำเป็นหนังสือ ท่านว่าไม่สมบูรณ์ อนึ่งการโอนหนี้นั้นท่านว่าจะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ลูกหนี้หรือบุคคลภายนอกได้แต่เมื่อได้บอกกล่าวการโอนไปยังลูกหนี้หรือลูกหนี้จะได้ยินยอมด้วยในการโอนนั้น คำบอกกล่าวหรือความยินยอมเช่นว่านี้ท่านว่าต้องทำเป็นหนังสือ

ถ้าลูกหนี้ทำให้พอแก่ใจผู้โอนด้วยการใช้เงิน หรือด้วยประการอื่นเสียแต่ก่อนได้รับบอกกล่าว หรือก่อนได้ตกลงให้โอนไซร้ ลูกหนี้นั้นก็เป็นอันหลุดพ้นจากหนี้
...............................
               มาตรา 308 ถ้าลูกหนี้ได้ให้ความยินยอมดังกล่าวมาในมาตรา 306 โดยมิได้อิดเอื้อน ท่านว่าจะยกข้อต่อสู้ที่มีต่อผู้โอนขึ้นต่อสู้ผู้รับโอนนั้นหาได้ไม่ แต่ถ้าเพื่อจะระงับหนี้นั้นลูกหนี้ได้ใช้เงินให้แก่ผู้โอนไปไซร้ ลูกหนี้จะเรียกคืนเงินนั้นก็ได้ หรือถ้าเพื่อการเช่นกล่าวมานั้น ลูกหนี้รับภาระเป็นหนี้อย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นใหม่ต่อผู้โอน จะถือเสมือนหนึ่งว่าหนี้นั้นมิได้ก่อขึ้นเลยก็ได้

               ถ้าลูกหนี้เป็นแต่ได้รับคำบอกกล่าวการโอน ท่านว่าลูกหนี้มีข้อต่อสู้ผู้โอนก่อนเวลาที่ได้รับคำบอกกล่าวนั้นฉันใด ก็จะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้แก่ผู้รับโอนได้ฉันนั้น ถ้าลูกหนี้มีสิทธิเรียกร้องจากผู้โอน แต่สิทธินั้นยังไม่ถึงกำหนดในเวลาบอกกล่าวไซร้ ท่านว่าจะเอาสิทธิเรียกร้องนั้นมาหักกลบลบกันก็ได้ หากว่าสิทธินั้นจะได้ถึงกำหนดไม่ช้ากว่าเวลาถึงกำหนดแห่งสิทธิเรียกร้องอันได้โอนไปนั้น
...............................

                จะเห็นได้ว่าการโอนสิทธิเรียกร้องของเจ้าหนี้ให้แก่บุคคลหนึ่งสามารถกระทำได้ แต่ต้องทำเป็นหนังสือมิฉะนั้นการโอนสิทธิ์นั้นจะไม่สมบูรณ์และแจ้งให้ทางลูกหนี้ได้ทราบถึงการโอนหนี้ดังกล่าวด้วย ซึ่งเป็นหน้าที่ของเจ้าหนี้ แต่ถึงแม้ว่าเจ้าหนี้ไม่ได้บอกกล่าวให้ลูกหนี้ทราบมีเพียงผู้รับโอนสิทธิที่แจ้งมายังลูกหนี้ ลูกหนี้ก็มีสิทธิ์เรียกร้องให้แสดงหนังสือโอนสิทธิ์ได้ หรือโต้แย้งได้ครับ แต่การที่ลูกหนี้ได้เข้าทำสัญญากับผู้รับโอนสิทธิ์หรือยอมชำระเงินให้แก่ผู้รับโอนสิทธิ์เช่นนี้ถือว่าลูกหนี้ได้ให้ความยินยอมในการโอนสิทธิเรียกร้องนั้นแล้วการโอนสิทธิก็สมบูรณ์ จากคำถามผมจึงเห็นว่าควรตรวจสอบการโอนสิทธิ์ให้ถูกต้องเสียก่อนครับ ก่อนจะทำนิติกรรมใดๆกับผู้รับโอนสิทธิ

                เป็นหนี้ก็ต้องชำระแต่การใช้สิทธิ์เรียกร้องของเจ้าหนี้ก็ต้องถูกต้องตามกฎหมาย การชำระหนี้ทางแพ่งขึ้นอยู่กับตัวคู่กรณีและกรอบของกฎหมาย สามารถเจรจาลดลงได้แต่เพิ่มหนี้โดยไม่มีมูลสิทธิทางกฎหมายไม่ได้ หากหนี้ขาดอายุความลูกหนี้ก็ใช้สิทธิ์โต้แย้งไม่ชำระหนี้ได้ครั