ให้คำปรึกษาและบริการทางกฎหมายด้วยระบบออนไลน์ โทร.0815709610 Line ID: nitilaw
วันอังคารที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556
วันศุกร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556
"วางทรัพย์" ทางออกของการชำระหนี้ไม่ได้
บางท่านอาจสงสัยว่ามีด้วยหรือชำ ระหนี้ไม่ได้ มีแต่เจ้าหนี้จะเร่งเอาเงินจากล ูกหนี้ คำตอบคือ มีครับ การชำระหนี้บางครั้งก็เกิดข้อขั ดข้องที่ฝ่ายเจ้าหนี้ได้ ซึ่งกฎหมายก็เล็งเห็นถึงปัญหานี ้ว่าสำคัญเพื่อไม่ให้ลูกหนี้ต้อ งตกเป็นผู้ผิดนัด ต้องถูกบังคับตามข้อสัญญา ไม่ว่าจะเป็นการถูกบอกเลิกสัญญา ถูกคิดดอกเบี้ยผิดนัด เป็นต้น
ตัวอย่างหนึ่งที่พบเจออยู่บ่อยๆ อันเป็นเหตุให้ต้องมี
การวางทรัพย์คือ ผู้ให้เช่าไม่ยอมรับค่าเช่า เพราะต้องการขึ้นค่าเช่า
หรือต้องการบอกเลิกสัญญาเช่า หรือหาตัวเจ้าหนี้ไม่พบโดยไม่ทร าบว่าจะชำระหนี้กับใครได้ กรณีเจ้าหนี้ตายโดยไม่ทราบทายาท หรือ ทราบทายาท แต่เจ้าหนี้มีทายาทหลายคนไม่รู้ จะชำระให้แก่ทายาทของเจ้าหนี้คน ใดแล้วสิ้นสุดภาระหนี้ ตลอดจนมีเหตุตามกฎหมาย เช่น ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ ่งและพาณิชย์ มาตรา 232,302,631,679,754,772 และ 947 , ตามบัญญัติแห่งกฎหมายอื่นที่กำห นดให้มีการวางทรัพย์ หรือตามคำสั่งศาล
ผลของการวางทรัพย์อธิบายง่ายๆก็ คือการชำระหนี้นั่นเอง เพียงแต่ชำระหนี้ไว้กับเจ้าพนัก งานแทนการชำระหนี้กับเจ้าหนี้โด ยตรง โดยทรัพย์ที่จะวางได้นั้น ได้แก่ เงินสด ตั๋วเงิน(เช็ค)และทรัพย์สินมีค่ าอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นอสังหาริมทรัพย์ หรือสังหาริมทรัพย์ซึ่งสามารถส่ งมอบกันได้ด้วยวิธีต่างๆตามกฎหม าย ซึ่งในการวางทรัพย์นี้นอกจากตัว ลูกหนี้แล้ว ยังสามรถมอบอำนาจมากระทำการวางท รัพย์แทนได้ด้วย หรือหากเป็นกรณีที่สภาพแห่งหนี้ ไม่จำเป็นที่ลูกหนี้จะต้องกระทำ เป็นการเฉพาะตัว(ด้วยตนเอง) บุคคลภายนอกก็สามารถวางทรัพย์เพ ื่อเป็นการชำระหนี้แทนลูกหนี้ก็ ได้
ในการวางทรัพย์ทำได้ที่สำนักงาน วางทรัพย์กลาง กรมบังคับคดี หรือกรณีต่างจังหวัดทำได้ที่สำน ักงานบังคับคดีประจำจังหวัดทั่ว ประเทศ
ประโยชน์ของการวางทรัพย์ คือ การชำระหนี้สมบูรณ์ ไม่ต้องตกเป็นผู้ผิดนัดจนถูกบัง คับตามสัญญา หรือไม่ก็สามารถนำเป็นหลักฐานใน การต่อสู้คดีได้ แนะนำไว้เป็นข้อมูลครับ
ตัวอย่างหนึ่งที่พบเจออยู่บ่อยๆ
ผลของการวางทรัพย์อธิบายง่ายๆก็
ในการวางทรัพย์ทำได้ที่สำนักงาน
ประโยชน์ของการวางทรัพย์ คือ การชำระหนี้สมบูรณ์ ไม่ต้องตกเป็นผู้ผิดนัดจนถูกบัง
วันเสาร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2556
นายจ้างจะต้องจ่ายค่าชดเชยเมื่อเลิกจ้างหรือไม่ ดูอย่างไร
การจ่ายค่าชดเชยเมื่อเลิกจ้างนั้นมีกำหนดเงื่อนไขไว้ในกฎหมาย
ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ ซึ่งนายจ้างจะต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัด
โดยในกฎหมายได้ระบุไว้เป็นขั้นต่ำนายจ้างจะชดเชยให้ลูกจ้างสูงกว่าที่กฎหมายกำหนดก็ได้
และเมื่อได้กำหนดอัตราค่าชดเชยไว้สูงกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้ในสัญญาจ้างหรือในข้อบังคับของบริษัทนายจ้างแล้วก็จะต้องยึดถือตามข้อบังคับซึ่งเป็นประโยชน์กับลูกจ้างมากกว่า
มาตรา
๑๑๘ ให้นายจ้างจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างซึ่งเลิกจ้าง
ดังต่อไปนี้
(๑) ลูกจ้างซึ่งทำงานติดต่อกันครบ ๑๒๐ วัน แต่ไม่ครบ ๑ ปี
ให้จ่ายไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้าย ๓๐ วัน หรือไม่น้อยกว่าค่าจ้างของการทำงาน
๓๐ วัน สุดท้ายสำหรับลูกจ้างซึ่งได้รับค่าจ้างตามผลงานโดยคำนวณเป็นหน่วย
(๒)
ลูกจ้างซึ่งทำงานติดต่อกันครบ ๑ ปี แต่ไม่ครบ ๓ ปี ให้จ่ายไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้าย
๙๐ วัน หรือไม่น้อยกว่าค่าจ้างของการทำงาน ๙๐ วัน สุดท้ายสำหรับลูกจ้างซึ่งได้รับค่าจ้างตามผลงานโดยคำนวณเป็นหน่วย
(๓)
ลูกจ้างซึ่งทำงานติดต่อกันครบ ๓ ปี แต่ไม่ครบ ๖ ปี
ให้จ่ายไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้าย ๑๘๐ วัน หรือไม่น้อยกว่าค่าจ้างของการทำงาน
๑๘๐ วัน สุดท้ายสำหรับลูกจ้างซึ่งได้รับค่าจ้างตามผลงานโดยคำนวณเป็นหน่วย
(๔)
ลูกจ้างซึ่งทำงานติดต่อกันครบ ๖ ปี แต่ไม่ครบ ๑๐ ปี
ให้จ่ายไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้าย ๒๔๐ วัน หรือไม่น้อยกว่าค่าจ้างของการทำงาน
๒๔๐ วันสุดท้ายสำหรับลูกจ้างซึ่งได้รับค่าจ้างตามผลงานโดยคำนวณเป็นหน่วย
(๕)
ลูกจ้างซึ่งทำงานติดต่อกันครบ ๑๐ ขึ้นไป ให้จ่ายไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้าย
๓๐๐ วัน หรือไม่น้อยกว่าค่าจ้างของการทำงาน ๓๐๐ วันสุดท้ายสำหรับลูกจ้างซึ่งได้รับค่าจ้างตามผลงานโดยคำนวณเป็นหน่วย
การเลิกจ้างตามมาตรานี้
หมายความว่า การกระทำใดที่นายจ้างไม่ให้ลูกจ้างทำงานต่อไปและไม่จ่ายค่าจ้างให้
ไม่ว่าจะเป็นเพราะเหตุสิ้นสุดสัญญาจ้างหรือเหตุอื่นใด และหมายความรวมถึงกรณีที่ลูกจ้างไม่ได้ทำงานและไม่ได้รับค่าจ้างเพราะเหตุที่นายจ้างไม่สามารถดำเนินกิจการต่อไป
ความในวรรคหนึ่งมิให้ใช้บังคับแก่ลูกจ้างที่มีกำหนดระยะเวลาการจ้างไว้แน่นอนและเลิกจ้างตามกำหนดระยะเวลานั้น
การจ้างที่มีกำหนดระยะเวลาตามวรรคสามจะกระทำได้สำหรับการจ้างงานในโครงการเฉพาะที่มิใช่งานปกติของธุรกิจหรือการค้าของนายจ้างซึ่งต้องมีระยะเวลาเริ่มต้นและสิ้นสุดของงานที่แน่นอนหรือในงานอันมีลักษณะเป็นครั้งคราวที่มีกำหนดการสิ้นสุด
หรือความสำเร็จของงาน
หรือในงานที่เป็นไปตามฤดูกาลและได้จ้างในช่วงเวลาของฤดูกาลนั้น
ซึ่งงานนั้นจะต้องแล้วเสร็จภายในเวลาไม่เกินสองปีโดยนายจ้างและลูกจ้างได้ทำสัญญาเป็นหนังสือไว้ตั้งแต่เมื่อเริ่มจ้าง
อ่านกฎหมายแล้วนายจ้างคงมีคำถามว่าจะต้องจ่ายค่าชดเชยให้ลูกจ้างในทุกกรณีหรือไม่ คำตอบคือไม่ แต่ต้องเป็นไปตามที่กฎหมายได้กำหนดไว้เท่านั้นครับ
มาตรา
๑๑๙ นายจ้างไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างซึ่งเลิกจ้างในกรณีหนึ่งกรณีใด
ดังต่อไปนี้
(๑)
ทุจริตต่อหน้าที่หรือกระทำความผิดอาญาโดยเจตนาแก่นายจ้าง
(๒)
จงใจทำให้นายจ้างได้รับความเสียหาย
(๓)
ประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้นายจ้างได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง
(๔)
ฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน ระเบียบ
หรือคำสั่งของนายจ้างอันชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรม และนายจ้างได้ตักเตือนเป็นหนังสือแล้ว
เว้นแต่กรณีที่ร้ายแรง นายจ้างไม่จำเป็นต้องตักเตือน
หนังสือเตือนให้มีผลบังคับได้ไม่เกินหนึ่งปีนับแต่วันที่ลูกจ้างได้กระทำผิด
(๕)
ละทิ้งหน้าที่เป็นเวลาสามวันทำงานติดต่อกันไม่ว่าจะมีวันหยุดคั่นหรือไม่ก็ตามโดยไม่มีเหตุอันสมควร
(๖)
ได้รับโทษจำคุกตามคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก
ในกรณี (๖)
ถ้าเป็นความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษต้องเป็นกรณีที่เป็นเหตุให้นายจ้างได้รับความเสียหาย
(เกิดความเสียหายจริง)
การเลิกจ้างโดยไม่จ่ายค่าชดเชยตามวรรคหนึ่ง
ถ้านายจ้างไม่ได้ระบุข้อเท็จจริงอันเป็นเหตุที่เลิกจ้างไว้ในหนังสือบอกเลิกสัญญาจ้างหรือไม่ได้แจ้งเหตุที่เลิกจ้างให้ลูกจ้างทราบในขณะที่เลิกจ้างนายจ้างจะยกเหตุนั้นขึ้นอ้างในภายหลังไม่ได้
มาดูตัวอย่างคดีที่ศาลฎีกาได้ตัดสินไว้ว่านายจ้างไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยกันครับ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5978/2549
หลังจากจำเลยมีคำสั่งห้ามไม่ให้ปล่อยเงินกู้นอกระบบในบริษัทจำเลยแล้ว
โจทก์ยังฝ่าฝืนปล่อยเงินกู้นอกระบบให้ลูกจ้างของจำเลยกู้ยืมเงินโดยคิดดอกเบี้ยสูงถึงร้อยละ
10 ต่อเดือน อันเป็นการกระทำความผิดอาญาตาม
พ.ร.บ.ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราฯ ซึ่งแม้จะมิใช่เป็นการกระทำความผิดอาญาโดยเจตนาแก่นายจ้าง
แต่ก็เป็นการกระทำความผิดอาญาในระหว่างการทำงาน
ทั้งยังเป็นการเอาเปรียบและสร้างความเดือดร้อนให้แก่เพื่อนร่วมงานซึ่งเป็นผู้ใช้แรงงานส่งผลกระทบต่อกำลังใจในการทำงาน
ย่อมทำให้กิจการของจำเลยได้รับความเสียหาย การกระทำของโจทก์จึงเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งของจำเลยในกรณีร้ายแรง
และเป็นการจงใจทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย
จำเลยจึงเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าและไม่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม
วันอังคารที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2556
ยื่นคำร้องอย่างไรเมื่อจะขอศาลรอการลงโทษหรือรอการกำหนดโทษ
การรอการลงโทษจำคุก หรือ ที่เรียกกันติดปากว่า “รอลงอาญา” นั้น จะกระทำได้ ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขดังนี้
ในคดีอาญาที่ศาลมีคำพิพากษาลงโท ษจำคุกจำเลยไม่เกินสามปี ถ้าไม่ปรากฏว่าผู้นั้นได้รับโทษ จำคุกมาก่อน (ถูกจำคุกในเรือนจำในคดีที่ถึงท ี่สุดแล้ว) หรือปรากฏว่าได้รับโทษจำคุกมาก่ อน แต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้ก ระทำโดยประมาท หรือความผิดลหุโทษ
จำเลยมีสิทธิ์ยื่นคำร้องขอรอการ ลงโทษต่อศาลได้ ซึ่งในศาลชั้นต้น สามารถกระทำได้นับแต่ยื่นคำให้ก าร(รับสารภาพ) หรือเมื่อศาลได้มีคำพิพากษาแล้ว สามารถขอไปพร้อมกับอุทธรณ์ หรือ ฎีกา ในคดีนั้นได้ ซึ่งการพิจารณาให้รอการลงโทษหรื อไม่
นั้น ศาลจะพิจารณาโดยคำนึงถึงอายุ ประวัติ ความประพฤติ สติปัญญา
การศึกษาอบรม สุขภาพ ภาวะแห่งจิต นิสัย อาชีพ และสิ่งแวดล้อมของผู้นั้น
หรือสภาพความผิด หรือเหตุอื่นอันควรปรานีแล้ว
อันเป็นข้อเท็จจริงในคดีและข้อเ ท็จจริงส่วนตัวของจำเลย
เมื่อศาลเห็นเป็นการสมควรตามคำร ้อง ศาลจะพิพากษาว่าผู้นั้น มีความผิดแต่รอการกำหนดโทษไว้หร ือกำหนดโทษแต่รอการลงโทษไว้แล้ว ปล่อยตัวไป เพื่อให้โอกาสผู้นั้นกลับตัวภาย ในระยะเวลาที่ศาลจะได้กำหนด โดยจะกำหนดเงื่อนไขเพื่อคุมความ ประพฤติของผู้นั้นด้วยหรือไม่ก็ ได้
ในคดีอาญาที่ศาลมีคำพิพากษาลงโท
จำเลยมีสิทธิ์ยื่นคำร้องขอรอการ
เมื่อศาลเห็นเป็นการสมควรตามคำร
วันศุกร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2556
รถยนต์ในคดีไม่ใช่ของจำเลยผู้กระทำความผิด แต่ศาลมีคำสั่งให้ริบจะทำอย่างไร ?
ทรัพย์สินซึ่งบุคคลได้ใช้ หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิด
หรือเป็นทรัพย์สินซึ่งบุคคลได้มาโดยได้กระทำความผิด ศาลมีอำนาจส่งริบได้
เว้นแต่ทรัพย์สินเหล่านี้เป็นทรัพย์สินของผู้อื่นซึ่งมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิด
แต่ไม่ใช่เพียงแค่จำเลยบอกว่าของกลางนั้นไม่ใช่ทรัพย์ของตนแล้วศาลจะไม่ริบทุกกรณีไปนะครับ บางครั้งก็มีคำสั่งริบทรัพย์สินนั้นได้
และถ้าทรัพย์สินนั้นยังคงมีอยู่ในความครอบครองของเจ้าพนักงาน
ก็ยังมีทางแก้ไขได้อยู่
โดยเจ้าของทรัพย์สินที่แท้จริงนั้นสามารถยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้คืน
ทรัพย์สินนั้นได้ ซึ่งศาลจะทำการไต่สวนข้อเท็จจริงก่อนมีคำสั่ง
ในทางไต่สวนหากปรากฏข้อเท็จจริงว่า
ผู้ที่มายื่นคำร้องนั้นเป็นเจ้าของที่แท้จริงและไม่ได้มีส่วนรู้เห็นเป็นใจ
ด้วยในการกระทำความผิดของจำเลย ศาลถึงจะมีสั่งให้คืนทรัพย์สินนั้นได้ครับ
แต่การยื่นคำร้องต้องทำอย่างช้าภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่คำพิพากษาของศาลใน
คดีที่มีคำสั่งริบทรัพย์นั้นได้ถึงที่สุด
วันพุธที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2556
ต้องทำอย่างไรเมื่อถูกบังคับคดี
เมื่อลูกหนี้แพ้คดีและคดีได้ถึงที่สุดแล้ว ลูกหนี้นั้นจึงตกอยู่ในฐานะลูกหนี้ตามคำพิพากษา เจ้าหนี้ก็เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาสามารถใช้สิทธิ์บังคับคดีเอากับลูกหนี้นั้นได้ภายใน 10 ปี ซึ่งเป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปแล้วนั้น
แต่เมื่อตกเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาแล้ว และเจ้าหนี้ได้ตรวจสอบพบว่าลูกหนี้มีทรัพย์สินที่บังคับคดีได้ และได้ตั้งเรื่องกับเจ้าพนักงานบังคับคดีเพื่อยึดเอาทรัพย์สินนั้นออกขายทอดตลาดเพื่อการชำระหนี้ ในชั้นนี้ลูกหนี้คงกลืนไม่เข้าคายไม่ออก บางคนถูกยึดบ้าน บางคนถูกอายัดเงินเดือน เกิดความเดือนร้อนดั่งไฟลน
ซึ่งก่อนที่เจ้าพนักงานบังคับคดีจะขายทอดตลาดทรัพย์สินของลูกหนี้ไปนั้น ก็ยังพอที่จะเจรจากับเจ้าหนี้ได้อยู่ ซึ่งหลายครั้งยังสามารถลดยอดเงินที่ต้องชำระลงได้อีก ซึ่งหากลูกหนี้ได้ชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ไปตามที่เจรจาแล้ว ต้องเรียกให้เจ้าหนี้ออกใบเสร็จรับเงิน หรือ หนังสือปลอดภาระหนี้ให้ด้วยเพื่อเป็นหลักฐานพร้อมกับเร่งให้เจ้าหนี้ไปยื่นถอนการบังคับคดีให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว
แต่หากเจรจากับเจ้าหนี้ไม่เป็นผล ลูกหนี้ก็สามารถไปยื่นคำร้องต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีเพื่อขอทราบยอดหนี้ตามคำพิพากษาและค่าธรรมเนียมในชั้นบังคับคดีได้ เพื่อดูว่ามียอดเงินที่ต้องชำระให้แก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาเท่าใด ซึ่งลูกหนี้จะเห็นได้ว่ายอดเงินที่ใดต่ำกว่ากัน ก็เลือกที่จะชำระที่นั้นได้ ซึ่งหากเลือกชำระที่เจ้าพนักงานบังคับคดีจนครบถ้วนแล้ว ซึ่งรวมไปถึงชำระค่าธรรมเนียมในการถอนการยึดทรัพย์ด้วยแล้ว เจ้าพนักงานบังคับคดีก็จะมีหนังสือถอนการยึดไปยังเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องต่อไป
นี่เป็นเพียงหนึ่งในขั้นตอนที่ลูกหนี้สามารถหาทางออกได้เมื่อถูกบังคับคดีครับ
แต่เมื่อตกเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาแล้ว และเจ้าหนี้ได้ตรวจสอบพบว่าลูกหนี้มีทรัพย์สินที่บังคับคดีได้ และได้ตั้งเรื่องกับเจ้าพนักงานบังคับคดีเพื่อยึดเอาทรัพย์สินนั้นออกขายทอดตลาดเพื่อการชำระหนี้ ในชั้นนี้ลูกหนี้คงกลืนไม่เข้าคายไม่ออก บางคนถูกยึดบ้าน บางคนถูกอายัดเงินเดือน เกิดความเดือนร้อนดั่งไฟลน
ซึ่งก่อนที่เจ้าพนักงานบังคับคดีจะขายทอดตลาดทรัพย์สินของลูกหนี้ไปนั้น ก็ยังพอที่จะเจรจากับเจ้าหนี้ได้อยู่ ซึ่งหลายครั้งยังสามารถลดยอดเงินที่ต้องชำระลงได้อีก ซึ่งหากลูกหนี้ได้ชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ไปตามที่เจรจาแล้ว ต้องเรียกให้เจ้าหนี้ออกใบเสร็จรับเงิน หรือ หนังสือปลอดภาระหนี้ให้ด้วยเพื่อเป็นหลักฐานพร้อมกับเร่งให้เจ้าหนี้ไปยื่นถอนการบังคับคดีให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว
แต่หากเจรจากับเจ้าหนี้ไม่เป็นผล ลูกหนี้ก็สามารถไปยื่นคำร้องต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีเพื่อขอทราบยอดหนี้ตามคำพิพากษาและค่าธรรมเนียมในชั้นบังคับคดีได้ เพื่อดูว่ามียอดเงินที่ต้องชำระให้แก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาเท่าใด ซึ่งลูกหนี้จะเห็นได้ว่ายอดเงินที่ใดต่ำกว่ากัน ก็เลือกที่จะชำระที่นั้นได้ ซึ่งหากเลือกชำระที่เจ้าพนักงานบังคับคดีจนครบถ้วนแล้ว ซึ่งรวมไปถึงชำระค่าธรรมเนียมในการถอนการยึดทรัพย์ด้วยแล้ว เจ้าพนักงานบังคับคดีก็จะมีหนังสือถอนการยึดไปยังเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องต่อไป
นี่เป็นเพียงหนึ่งในขั้นตอนที่ลูกหนี้สามารถหาทางออกได้เมื่อถูกบังคับคดีครับ
วันศุกร์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2556
อุบัติเหตุบนท้องถนนไม่มีใครต้องการให้เกิดขึ้น แต่เมื่อเกิดแล้วจะต้องทำอย่างไรจึงจะไม่เสี่ยง (คุก)
ปัจจุบันคดีรถยนต์ชนกันนั้นมีอัตราเพิ่มสูงขึ้นโดยเกิดจากหลายสาเหตุหลายปัจจัย ซึ่งความรับผิดนั้นมีกฎหมายที่เกี่ยวข้องหลายฉบับทั้งทางแพ่งและทางอาญา มาตราสำคัญมี ดังนี้
มาตรา ๒๙๑ ผู้ใดกระทำโดยประมาท
และการกระทำนั้นเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี
และปรับไม่เกินสองหมื่นบาท
มาตรา ๗๘
ผู้ใดขับรถหรือขี่หรือควบคุมสัตว์ในทางซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายแก่
บุคคลหรือทรัพย์สินของผู้อื่นไม่ว่าจะเป็นความผิดของผู้ขับขี่หรือผู้ขี่
หรือควบคุมสัตว์หรือไม่ก็ตาม ต้องหยุดรถ หรือสัตว์ และให้ความช่วยเหลือตามสมควร และพร้อมทั้งแสดงตัวและแจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ใกล้เคียงทันที
กับต้องแจ้งชื่อตัว ชื่อสกุล
และที่อยู่ของตนและหมายเลขทะเบียนรถแก่ผู้ได้รับความเสียหายด้วย
ในกรณีที่ผู้ขับขี่หรือผู้ขี่หรือควบคุมสัตว์หลบหนีไปหรือไม่แสดงตัวต่อพนักงานเจ้าหน้าที่
ณ สถานที่เกิดเหตุ ให้สันนิษฐานว่าเป็นผู้กระทำความผิดและให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจยึดรถคันที่ผู้ขับขี่หลบหนีหรือไม่แสดงตนว่าเป็นผู้ขับขี่
จนกว่าคดีถึงที่สุดหรือได้ตัวผู้ขับขี่
ถ้าเจ้าของหรือผู้ครอบครองไม่แสดงตัวต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ภายในหกเดือนนับแต่วันเกิดเหตุ
ให้ถือว่ารถนั้นเป็นทรัพย์สินซึ่งได้ใช้ในการกระทำความผิดหรือเกี่ยวกับการกระทำความผิด
และให้ตกเป็นของรัฐ
มาตรา ๔๒๐ ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ
ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี
อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี
ท่านว่าผู้นั้นทำละเมิดจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น
ดังนี้ เมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้นแล้วผู้ขับขี่จะต้องเข้าช่วยเหลือและพยายามเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้นโดยทันที
และ แจ้งเจ้าหน้าที่ โดยไม่หลบหนีไปจากที่เกิดเหตุ
และเมื่อมีการตกลงเจรจาชดเชยความเสียหายให้แก่ผู้เสียหายจนเป็นที่พอใจ (หรือชดเชยตามสมควรแก่พฤติการณ์)แล้ว
ข้อเท็จจริงดังกล่าวก็จะเป็นเหตุบรรเทาโทษทางอาญาได้ ซึ่งตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๑ นั้นไม่ต้องพิจารณาว่าอีกฝ่ายมีส่วนประมาทด้วยหรือไม่
ก็ถือเป็นความผิดได้ ซึ่งหากเป็นกรณีหลบหนีไปจากที่เกิดเหตุ
ไม่แจ้งเหตุให้เจ้าหน้าที่ทราบเพื่อเข้าให้การช่วยเหลือทางการแพทย์ และการเฉี่ยวชนนั้นเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต เมื่อผู้ขับขี่ถูกฟ้องดำเนินคดีอาญาต่อศาลแล้วการวางเงินชดเชิญค่าเสียหายอาจไม่ช่วยให้ศาลพิพากษาให้รอการลงโทษจำคุกก็เป็นได้
ดังนี้
การขับขี่รถยนต์บนท้องถนนจึงต้องใช้ความระมัดระวังให้หนัก และเมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้นแล้วต้องมีน้ำใจต่อกันและทำตามหลักปฏิบัติให้ครบถ้วน
ข้อเท็จจริงนี้จะเป็นไม้เด็ดที่ทนายความใช้กันในการทำคดี
เพื่อขอรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลย ซึ่งในการทำงานที่ผ่านมาผมเห็นว่าได้ผลจริงๆครับ
นั่งโพสต์อยู่ดีๆอาจมีหมายศาลมาถึงได้
การโพสต์หรือแชร์ข้อมูลในระบบอินเทอร์เน็ต "ให้คนอื่นเห็น"
ต้องพึงระวังเสมอว่าจะเป็นการทำให้ผู้อื่นได้รับความเสียหายด้วยหรือไม่
ทั้งทางตรงและทางอ้อม
มิฉะนั้นอาจจะกลายเป็นการหมิ่นประมาทหรือละเมิดผู้อื่นได้
เช่น โพสต์ว่า
- โพสต์ว่า เห็นนาย ก.พานางสาว ข. ภรรยาคนอื่นเข้าโรงแรมม่านรูดในเชิงชู้สาว หรือ
- โปรดระวัง บุคคลดังรูปชอบโกงเงิน เป็นต้น
เช่นนี้ จะเห็นได้ว่าบุคคลดังกล่าวย่อมได้รับความเสียหาย
โดยที่ยังไม่ทราบแน่ว่า เรื่องดังกล่าวเป็นจริงหรือไม่
ซึ่งหากพิสูจน์ในชั้นศาลได้ว่าเป็นเรื่องจริงผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ
แต่หากเป็นในเรื่องส่วนตัวของเขาแล้ว
แม้จะเป็นเรื่องจริงก็ตามกฎหมายห้ามที่จะพิสูจน์ข้อเท็จจริงนั้น
(ห้ามแก้ตัว) จำเลยก็ต้องรับโทษไปตามระเบียบ
แต่หากเป็นการแสดงความคิดเห็นหรือข้อความใดโดยสุจริตในกรณีดังต่อไปนี้
(1) เพื่อความชอบธรรม ป้องกันตนหรือป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนตามคลองธรรม
(2) ในฐานะเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติการตามหน้าที่
(3) ติชม ด้วยความเป็นธรรม ซึ่งบุคคลหรือสิ่งใดอันเป็นวิสัยของประชาชนย่อมกระทำ หรือ
(4) ในการแจ้งข่าวด้วยความเป็นธรรม เรื่องการดำเนินการอันเปิดเผยในศาลหรือในการประชุม
ผู้นั้นไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาท เช่น การเสนอข่าวตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น , การติชมนักการเมืองตามข้อเท็จจริง เป็นต้น
ฉะนั้น ก่อนโพสต์ หรือ แชร์สิ่งใด พึงระลึกเสมอว่าต้องรับผิดชอบในสิ่งนั้นด้วยครับ
วันอังคารที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2556
ถึงมีกรรมสิทธิ์ก็อย่านิ่งดูดาย เพราะถูกแย่งได้อย่างสิทธิ์ครอบครอง
กรรมสิทธิ์
คำนี้ฟังแล้วสำคัญและหนักแน่น
แต่การมีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินก็ไม่ได้หมายความว่าจะละเลยไม่ต้องดูแล
กรณีเช่นเดียวกันกับภาระจำยอมซึ่งได้เคยกล่าวไปแล้ว
หากมีผู้อื่นมาครองครองทำประโยชน์โดยสงบเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของในทรัพย์สินของเรา ในกรณีอสังหาริมทรัพย์ต่อเนื่องกันเป็นเวลา 10 ปี
ในกรณีสังหาริมทรัพย์ ต่อเนื่องกันเป็นเวลา 5 ปี
ผู้นั้นจะได้ไปซึ่งกรรมสิทธิ์แทนเจ้าของเดิม ด้วยการครองครองปรปักษ์
ประมวลกฎหมายแพ่งและ พาณิชย์ มาตรา ๑๓๘๒ บุคคลใดครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นไว้โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนา เป็นเจ้าของ ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาสิบปี ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาห้าปีไซร้ ท่านว่าบุคคลนั้นได้กรรมสิทธิ์
ประมวลกฎหมายแพ่งและ พาณิชย์ มาตรา ๑๓๘๒ บุคคลใดครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นไว้โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนา เป็นเจ้าของ ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาสิบปี ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาห้าปีไซร้ ท่านว่าบุคคลนั้นได้กรรมสิทธิ์
วันจันทร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2556
มีที่ดินก็ต้องดูและรักษา หากปล่อยปละละเลยอาจต้องช้ำใจ เพราะคำว่า "ภาระจำยอม"
การได้มาซึ่งภาระจำยอมมีหลายรูปแบบ แต่ส่วนมาก
หากไม่ได้มาโดยข้อตกลง ก็จะได้มาโดยการครอบครองเพื่อใช้ประโยชน์ ซึ่ง
กรณีการครอบครองเพื่อใช้ประโยชน์นั้น เรียกว่าได้ ภาระจำยอมมาโดยอายุความ
เช่น ใช้ที่ดินของผู้อื่นเป็นทางเข้าออกที่ดินของตนเอง หรือ
ใช้เป็นทางเดินท่อน้ำประปา
แนวเสาส่งและสายไฟฟ้าเข้าสู่ที่ดินของตนโดยเปิดเผยเกินกว่า10ปี ทั้งนี้
ต้องไม่ได้ขออนุญาตและได้รับความยินยอมจากของที่ดิน
หรือไม่ได้เป็นการทำโดยถือวิสาสะด้วยความสนิทสนมกับเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินนั้น
การครอบครองเพื่อใช้ประโยชน์ดังกล่าว จึงได้ไปซึ่งภาระจำยอม
ภาระจำยอม
เป็นทรัพย์สิทธิอย่างหนึ่งเมื่อเกิดขึ้นแล้วจะผูกพันอยู่กับตัวทรัพย์
นั้น เพื่อประโยชน์แก่ทรัพย์อื่น และไม่ใช่ทรัพยสิทธิส่วนบุคคล
ดังนั้น
แม้เจ้าของที่ดินที่มีภาระจำยอมจะเปลี่ยนตัวไปกี่ทอดก็ตาม
หากยังคงมีการใช้ประโยชน์จากภาระ จำยอมนั้นอยู่
การเปลี่ยนตัวเจ้าของที่ดินก็ไม่ทำให้ภาระจำยอมสูญสิ้นไป
และเมื่อที่ดินตกเป็นภาระจำยอมแล้ว
ท่านมีสิทธิ์เรียกให้เจ้าของที่ดินที่ตกเป็นภาระจำยอมนั้นไปจดทะเบียนภาระจำ
ยอมลงในเอกสารสิทธิ์ที่ดินเพื่อเป็นหลักฐานที่สำคัญในการใช้สิทธิ์ได้
(ฎ.3984/2533)https://www.facebook.com/nitilaw.legaladvisors?sk=page_insights§ion=navPosts&subsection=navPostsAllPosts
วันเสาร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2556
กฎหมายเป็นเรื่องใกล้ตัวกว่าที่คุณคิด
บางท่านอาจมองว่ากฎหมายเป็นเรื่องยุ่งยากและวุ่นวาย แต่ความจริงแล้วไม่เป็นเช่นนั้น
กฎหมาย
เป็นอะไรที่เรียบง่ายมีหลักและมีขั้นตอนการปฏิบัติ
คนเราในสังคมต้องเกี่ยวพันกับกฎหมายตั้งแต่เกิดจนถึงเวลาตายไม่ว่าหลับหรือตื่นทุกคนต้องอยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายตลอดเวลา
การที่จะทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดลงไปนั้นจึงควรศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมในเรื่องกฎหมายอยู่เสมอ
ผมเป็นเพียงผู้ประกอบวิชาชีพทางกฎหมายคนหนึ่ง
ซึ่งมองเห็นว่าการนำประสบการณ์ที่ผ่านมาในการศึกษาและการทำงานออกแบ่งปันในพื้นที่แห่งนี้ น่าจะเป็นประโยชน์แก่สังคมอยู่บ้างไม่มากก็น้อย
ผมจึงขอใช้พื้นที่แห่งนี้แบ่งปันความรู้และประสบการณ์แก่ทุกท่าน และนอกจากพื้นที่แห่งนี้แล้วผมยังมี Facebook แนะนำให้ท่านได้ติดตามด้วย ที่ https://www.facebook.com/nitilaw.legaladvisors
ผมจึงขอใช้พื้นที่แห่งนี้แบ่งปันความรู้และประสบการณ์แก่ทุกท่าน และนอกจากพื้นที่แห่งนี้แล้วผมยังมี Facebook แนะนำให้ท่านได้ติดตามด้วย ที่ https://www.facebook.com/nitilaw.legaladvisors
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)