วันพุธที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2558

เครื่องหมายการค้า เครื่องหมายบริการ (ไม่จดทะเบียน)

               เครื่องหมายการค้า หรือ โลโก้ คือ เครื่องบ่งชี้ถึงสินค้าของผู้ผลิต ทำให้เราจำได้ถึงที่มาของผลิตภัณฑ์ว่าเป็นของใคร มีประโยชน์ในการทำให้ลูกค้าจดจำสินค้าได้ง่ายขึ้น ซึ่งรวมถึงเครื่องหมายบริการด้วย แต่ไม่ว่าจะเป็นเครื่องหมายการค้าหรือเครื่องหมายบริการ ก็เป็นเครื่องหมายที่อยู่ในบังคับของกฎหมายเดียวกัน และมีวัตถุประสงค์ในการใช้งานเป็นอย่างเดียวกันด้วย

               โดยมากแล้วผู้ผลิต ผู้ประกอบการต่างๆ ก็นิยมสร้างโลโก้ขึ้นมาใช้ในกิจการของตน แต่ก็มีไม่น้อยที่ไม่ได้นำเครื่องหมายดังกล่าวไปจดทะเบียน ซึ่งเจ้าของเครื่องหมายการค้าที่ยังไม่ได้จดทะเบียนนี้ จะได้ไปซึ่งสิทธิ์ในเครื่องหมายดังกล่าวโดยการใช้งาน แต่มีสิทธิไม่เทียบเท่ากับการเป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าที่ได้จดทะเบียนแล้ว

สิทธิของเจ้าของเครื่องหมายการค้าที่ไม่จดทะเบียน สรุปได้ดังนี้

- มีสิทธิใช้เครื่องหมายการค้า หรือเครื่องหมายบริการ เพื่อแสดงความเกี่ยวพันระหว่างสินค้าหรือบริการกับเจ้าของเครื่องหมาย แต่จะห้ามผู้อื่นใช้ไม่ได้

- มีสิทธิคัดค้านการขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า หรือ เครื่องหมายบริการ ตาม ม.๓๕ และมีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า หรือเครื่องหมายบริการ ตาม ม.๖๗

- ไม่มีสิทธิห้ามผู้อื่นใช้เครื่องหมายการค้า หรือเครื่องหมายบริการ ที่เหมือนหรือคล้ายกันกับเครื่องหมายของตน เว้นแต่เป็นจะกรณีการลวงขาย

**************************

 


พระราชบัญญัติ เครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534

มาตรา ๓๕ เมื่อได้ประกาศโฆษณาคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้ารายใดตามมาตรา ๒๙ แล้ว บุคคลใดเห็นว่าตนมีสิทธิดีกว่าผู้ขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้ารายนั้น หรือเห็นว่าเครื่องหมายการค้ารายนั้นไม่มีลักษณะอันพึงรับจดทะเบียนได้ตามมาตรา ๖ หรือการขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้ารายนั้นไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัตินี้ บุคคลนั้นจะยื่นคำคัดค้านต่อนายทะเบียนก็ได้ แต่ต้องยื่นภายในเก้าสิบวันนับแต่วันประกาศโฆษณาตามมาตรา ๒๙ พร้อมทั้งแสดงเหตุแห่งการคัดค้าน

การคัดค้านตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง
มาตรา ๔๖ บุคคลใดจะฟ้องคดี เพื่อป้องกันการละเมิดสิทธิในเครื่องหมายการค้าที่ไม่ได้จดทะเบียน หรือเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนเพื่อการละเมิดสิทธิดังกล่าว ไม่ได้

บทบัญญัติมาตรานี้ไม่กระทบกระเทือนสิทธิของเจ้าของเครื่องหมายการค้าที่ไม่ได้จดทะเบียน ในอันที่จะฟ้องคดีบุคคลอื่นซึ่งเอาสินค้าของตนไปลวงขายว่าเป็นสินค้าของเจ้าของเครื่องหมายการค้านั้น

มาตรา ๖๗ ภายในห้าปีนับแต่วันที่นายทะเบียนมีคำสั่งให้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าใดตามมาตรา ๔๐ ผู้มีส่วนได้เสียอาจร้องขอต่อศาลให้สั่งเพิกถอนการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้านั้นได้ หากแสดงได้ว่าตนมีสิทธิในเครื่องหมายการค้านั้นดีกว่าผู้ซึ่งได้จดทะเบียนเป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้านั้น

ถ้าผู้ร้องแสดงได้แต่เพียงว่า ตนมีสิทธิดีกว่าเฉพาะสินค้าบางอย่างในจำพวกของสินค้าที่ได้จดทะเบียนไว้ ให้ศาลมีคำสั่งจำกัดสิทธิแห่งการจดทะเบียนให้อยู่เฉพาะสินค้าที่ผู้ร้องไม่ได้แสดงว่าตนมีสิทธิดีกว่า

****************************

จากหลักกฎหมายดังกล่าวข้างต้น ท่านผู้อ่านคงจะเห็นได้ถึงสิทธิของตนในการใช้เครื่องหมายการค้าที่ไม่ได้จดทะเบียนกันบ้างแล้ว ส่วนเรื่องเงื่อนไขการขอจะทะเบียน และสิทธิของเจ้าของเครื่องการค้าที่ได้จดทะเบียนแล้ว มีรายละเอียดเป็นเช่นไรนั้น ผมจะนำมาเล่าสู่กันฟังในโอกาสต่อไปครับ

หวังว่าจะเป็นประโยชน์แก่ท่านผู้อ่านไม่มากก็น้อย ซึ่งหากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามเข้ามาได้ และช่วยกันเผยแพร่ให้เป็นความรู้แก่บุคคลทั่วไปครับ

ที่ปรึกษากฎหมาย นิติ ลอว์

#ปรึกษากฎหมาย #เครื่องหมายการค้า

วันพุธที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ที่มีการครอบครอง (ที่ดินมือเปล่า)


                ที่ดินเป็นอสังหาริมทรัพย์ เป็นทรัพย์ที่มีราคา โดยปัจจุบันมีแนวโน้มที่มูลค่าที่ดินจะสูงขึ้นไปอย่างต่อเนื่อง เพราะการขยายตัวเพิ่มขึ้นของประชากร และทุกคนต่างก็ต้องการที่อยู่ ที่ทำกิน เมื่อความต้องการมีมาก แต่ที่ดินมีอยู่จำกัด ราคาย่อมสูงขึ้นเป็นธรรมดา
 
             
                ที่มีการครอบครอง หรือ ที่ดินมือเปล่า คืออะไร มีข้อควรระวังอย่างไรบ้างกับการครอบครองที่ดินประเภทนี้ ?

              ผมขอสรุปให้เข้าใจง่ายๆ ว่า ที่มีการครอบครอง หรือ ที่ดินมือเปล่า ก็คือ ที่ดินที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์แต่เป็นอสังหาริมทรัพย์ตามกฎหมายเช่นกัน ไม่ว่าจะมีสิ่งปลูกสร้าง หรือจะมีการทำประโยชน์อยู่ในที่ดินนั้นหรือไม่ก็ตาม แต่ไม่รวมถึง ที่ราชพัสดุ ที่สาธารณะสมบัติของแผ่นดิน ตลอดจนที่ป่าสงวนต่างๆ

              ที่ดินประเภทนี้ จะมีได้เพียงสิทธิครอบครองเท่านั้น ยังไม่ถือว่าที่ดินมือเปล่านั้นมีกรรมสิทธิ์ตามกฎหมาย ผู้ที่ครอบครองทำประโยชน์อยู่ก็ได้ไปเพียงสิทธิ์ครอบครองในที่ดินที่ตนทำ ประโยชน์อยู่ ซึ่งตามหลักกฎหมายแล้วบุคคลใดยึดถือทรัพย์สินโดยเจตนาจะยึดถือเพื่อตน ท่านว่าบุคคลนั้นได้ซึ่งสิทธิครอบครอง (ป.พ.พ.มาตรา 1367 ) ซึ่งการที่มีเพียงสิทธิครอบครองเท่านั้นนี่เอง ผู้ถือครองที่ดินจึงต้องระมัดระวังให้มากกว่าที่ดินที่มีกรรมสิทธิ์ เหตุเป็นเพราะ สิทธิครอบครองนั้นสามารถแย่งกันได้ และเมื่อถูกแย้งแล้วก็เสียสิทธิครอบครองไปในทันที แต่ผู้ถูกแย่งการครอบครองสามารถใช้สิทธิ์ฟ้องเรียกคืนการครอบครองได้ภายใน เวลา 1 ปี นับแต่ถูกแย่งการครอบครอง (ป.พ.พ. มาตรา 1375) ซึ่งประเด็นนี้ ยังมีผู้เข้าใจสับสนอยู่อีกมากว่า การแย่งสิทธิครอบครองจะต้องใช้เวลาถึง 1 ปี จึงจะได้สิทธิครอบครองไป แต่ความจริงแล้วไม่เป็นเช่นนั้น ที่ถูกต้องคือ นับแต่แย่งก็ได้สิทธิครอบครองไปในทันที

                ดังนั้น ท่านที่มีที่ดินมือเปล่าอยู่ในการครอบครองจึงต้องพึงตรวจสอบที่ดินของตนอยู่ เสมอ และต้องแสดงออกถึงการครอบครอง ใช้ประโยชน์ให้เด่นชัดอย่างต่อเนื่อง เมื่อถูกรบกวนการครอบครองก็จำเป็นที่จะต้องแสดงออกให้ชัดว่าท่านเป็นเจ้าของ ที่ดิน และหากถูกแย่งการครอบครองก็จำเป็นที่จะต้องดำเนินคดีเรียกคืนการครอบ ครองกลับมาภายในระยะเวลา 1 ปี ตามที่กฎหมายกำหนด ซึ่งหากละเลยไม่ฟ้องเรียกคืนการครอบครองภายในระยะเวลาดังกล่าว สิทธิ์ในการฟ้องเรียกคืนก็เป็นอันสิ้นสุดไป ในส่วนการเริ่มนับระยะเวลา กฎหมายกำหนดว่า นับแต่เมื่อถูกแย่งการครอบครอง ไม่ใช่นับแต่รู้ว่าถูกแย่งการครอบครองไป จึงจำเป็นที่ต้องไปตรวจสอบที่ดินของตนอยู่เสมอ




ที่นี้ มีประเด็นเพิ่มเติมว่า หากมีคนเข้า มาบุกรุก หรือบุกเข้ามาแย่งการครอบครองที่ดินมือเปล่า
จะมีความผิดทางอาญาหรือไม่ ?


ในประเด็นนี้ หากมีการบุกเข้ามารบกวนการครองครอง หรือ เข้ามาแย่งการครอบครองที่ดินไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยเข้าไปในอสังหาริมทรัพย์ของผู้อื่น เพื่อถือการครอบครองอสังหาริมทรัพย์นั้นทั้งหมดหรือแต่บางส่วน หรือเข้าไปกระทำการใด ๆ อันเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์
 ของเขาโดยปกติสุขก็จะมีความผิดฐานบุกรุก ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (ป.อ.มาตรา 362)

                ท้ายนี้ ในปีงบประมาณ ๒๕๕๙ รัฐจะจัดให้มีการออกสำรวจรังวัดที่ดินเพื่อออกโฉนดที่ดินในหลายจังหวัด ดังนั้น เพื่อไม่ให้เกิดข้อโต้แย้งจนไม่สามารถดำเนินการรังวัดได้ ท่านที่ครองครองที่ดินมือเปล่าอยู่จึงควรเร่งแสดงแนวเขตการครอบครองที่ดิน ของตนให้ดีครับ

"คลิกดูรายละเอียดจังหวัดที่จะทำการสำรวจที่นี่"



                หวังว่าจะเป็นประโยชน์แก่ท่านผู้อ่านไม่มากก็น้อย ซึ่งหากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามเข้ามาได้ และช่วยกันเผยแพร่ให้เป็นความรู้แก่บุคคลทั่วไปครับ

ที่ปรึกษากฎหมาย นิติ ลอว์

#‎
ปรึกษากฎหมาย‬
‪#‎ที่ครอบครอง‬

วันเสาร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2558

วันนี้มาคุยกันเรื่องของการใช้ (ว.) ในการทำงานกันครับ

               การใช้งานวิทยุสื่อสารในชีวิตประจำวันเป็นเรื่องที่พบเห็นได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็น บริษัท ห้างร้าน ตลอดจนหน่วยงานต่างๆ ได้มีการนำวิทยุสื่อสาร (ว.) มาใช้ในการติดต่อสื่อสารของบุคลกรในการทำงานอย่างกว้างขวาง ซึ่งนิยมใช้กันทั้ง ว.ดำ และ ว.แดง แต่มีเพียงบางส่วนที่จะรู้ว่าการใช้งานวิทยุสื่อสาร จะต้องมีการขอใบอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยวิทยุคมนาคม เสียก่อนจึงจะนำมาใช้งานได้ ไม่เช่นนั้นจะมีความผิดตามกฎหมาย ซึ่งมีโทษทางอาญา ทั้งนี้ ไม่รวมถึง วิทยุสื่อสารประเภทที่เป็นเครื่องเถื่อน และ เครื่องปลอม วิทยุสื่อสารจำพวกนี้มีราคาค่าตัวถูกกว่าวิทยุสื่อสารที่นำเข้าอย่างถูกต้อง และเป็นของแท้จากบริษัทผู้ผลิตอยู่มาก เหตุที่บอกว่าไม่รวมถึงนั้นก็เพราะเครื่องเถื่อนและเครื่องปลอมดังกล่าวจะ ไม่สามารถขอใบอนุญาตเพื่อการนำมาใช้งานได้ตามกฎหมายอยู่แล้ว อีกทั้งเป็นทรัพย์ที่มีไว้เป็นความผิด เจ้าหน้าที่พบเห็นก็สามารถจับกุมได้ทันที พูดง่ายๆ มีก็ผิดเต็มประตู



                ในส่วนของประชาชน หรือผู้ประกอบธุรกิจต่างๆนั้น ท่านสามารถนำวิทยุสื่อสารมาใช้งานในทางธุรกิจของตนหรือส่วนตัวได้เพียงวิทยุ สื่อสารความถี่ประชาชน (Citizen Band) หรือที่นิยมเรียกกันว่าวิทยุสื่อสารเครื่องแดงเท่านั้น ส่วนวิทยุสื่อสารเครื่องดำนั้น เป็นวิทยุสื่อสารที่กฎหมายกำหนดให้ใช้ในกิจการเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็น ในงานของทางราชการ หรือในกิจการวิทยุสมัครเล่น เป็นต้น จึงไม่สามารถนำมาใช้ในทางธุรกิจโดยประชาชนทั่วไปได้

                แต่อย่างไรก็ตามการจะนำวิทยุสื่อสารความถี่ประชาชนมาใช้งานได้อย่างถูก กฎหมายนั้น ก็ต้องมีการขอใบอนุญาตให้ “ใช้” ในกรณีวิทยุแบบมือถือ และต้องมีใบอนุญาตให้ “ตั้งสถานี” ในกรณีมีการตั้งสถานีวิทยุสื่อสารในรถ หรือที่สำนักงาน หากไม่มีใบอนุญาตแล้วนำไปใช้ หรือตั้งสถานี ก็จะมีความผิดตาม พ.ร.บ.วิทยุคมนาคม พ.ศ. ๒๔๙๘ ในมาตรา ๖ ต้องระวางโทษ ปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือจำคุกไม่เกินห้าปี หรือทั้งปรับทั้งจำ ตามความใน มาตรา ๒๓

                การยื่นขอใบอนุญาตท่านสามารถยื่นขอรับใบอนุญาตดังกล่าวได้ที่สำนักงาน ก.ส.ท.ช. และสำนักงานสาขาทั่วประเทศ

**** ความผิดตาม พ.ร.บ. วิทยุคมนาคม พ.ศ. ๒๔๙๘ เป็นความผิดที่สามารถเปรียบเทียบได้โดยเจ้าพนักงานผู้ออกใบอนุญาต (ก.ส.ท.ช.) ตามความใน มาตรา ๒๑ ของ พ.ร.บ. ดังกล่าว แต่ถึงจะเปรียบเทียบปรับได้ก็ตาม ค่าใช้จ่ายในการขอออกใบอนุญาตนั้นไม่มากมายอะไร ย่อมคุ้มค่ากว่าการต้องมาถูกดำเนินคดีอย่างแน่นอนครับ
หวังว่าจะเป็นประโยชน์แก่ท่านผู้อ่านไม่มากก็น้อย ซึ่งหากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามเข้ามาได้ และช่วยกันเผยแพร่ให้เป็นความรู้แก่บุคคลทั่วไปครับ ที่ปรึกษากฎหมาย นิติ ลอว์






ที่ปรึกษากฎหมาย นิติ ลอว์

#‎
ปรึกษากฎหมาย‬ ‪#‎วิทยุสื่อสาร‬

วันเสาร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2558

“หักกลบลบหนี้”

               ในทางการค้าขายการเป็นหนี้นั้นถือเป็นเรื่องปกติ โดยบ่อยครั้งคู่ค้าทั้งสองฝ่ายก็ต่างเป็นหนี้ซึ่งกันและกัน ซึ่งการชำระหนี้นั้นทำได้หลายวิธี คือ ชำระเงิน หรือนำทรัพย์สินมาตีราคาชำระหนี้ หรืออาจจะใช้วิธีหักกลบลบหนี้กันไปก็ทำได้

               โดยหลักทางกฎหมายแล้ว การตกลงซื้อขายสินค้าซึ่งกันและกันและมีหนี้เงินที่จะต้องชำระต่อกันอยู่และ ถึงกำหนดชำระแล้ว ก็สามารถนำหนี้นั้นมาหักกลบลบหนี้กันได้ เว้นแต่สภาพแห่งหนี้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะไม่เปิดช่องให้หักกลบลบกันได้ หรือคู่ค้าได้ตกลงกันไว้ก่อนแล้วว่าจะไม่ทำการหักกลบลบหนี้ต่อกัน

               ซึ่งการหักกลบลบหนี้กันนั้น ทำได้โดยคู่ค้าฝ่ายหนึ่งบอกกล่าวไปยังอีกฝ่ายหนึ่ง และการบอกกล่าวต้องมีผลบังคับใช้ได้ในทันทีจะมีเงื่อนไขหรือเงื่อนเวลาไม่ ได้
เมื่อหักกลบลบหนี้กันแล้วขาดเหลืออยู่ที่ฝ่ายไหนก็ชำระเงินกันไป หนี้ก็เป็นอันจบ เช่นนี้ คือการหักกลบลบหนี้ตามปกติที่เห็นกันอยู่ แต่ท่านทราบหรือไม่ว่า การหักกลบลบหนี้นั้นสามารถกระทำบนชั้นศาลในการต่อสู้คดีได้ด้วย นั่นก็คือ เมื่อโจทก์ฟ้องคดีให้จำเลยชำระหนี้ หากข้อเท็จจริงได้ความว่าโจทก์และจำเลยต่างมีหนี้ต่อกันก็สามารถนำหลัก เรื่องหักกลบลบหนี้ มาเป็นประเด็นต่อสู้ในคำให้การได้ด้วย



               แต่ถ้าหนี้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งยังมีข้อโต้แย้งกันอยู่ เช่นนี้จะนำมาหักกลบลบหนี้กันได้หรือไม่ ?
ในกรณีนี้มีคำพิพากษาศาลฎีกาที่น่าสนใจอยู่เรื่องหนึ่ง ซึ่งท่านที่ประกอบการค้าก็ดี เพื่อนๆทนายความก็ดี น่าลองศึกษาไว้เป็นความรู้ครับ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7001/2557
                โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยคืนเงินค่าสินค้าที่โจทก์ชำระไป เนื่องจากจำเลยไม่ส่งมอบสินค้าให้แก่โจทก์ตามสัญญา จำเลยอ้างว่าโจทก์มีหนี้ค่าเสียหายที่ต้องรับผิดต่อจำเลย จากการไม่ชำระค่าสินค้าและรับมอบสินค้าทั้งหมดภายในกำหนด แต่โจทก์ปฏิเสธความรับผิด เช่นนี้ถือว่าหนี้ค่าเสียหายหรือสิทธิเรียกร้องดังกล่าวยังมีข้อต่อสู้อยู่ จำเลยมิได้ฟ้องแย้งเพื่อให้ได้ข้อยุติว่า โจทก์จะต้องรับผิดต่อจำเลยหรือไม่ เพียงใด จำเลยจึงนำหนี้ค่าเสียหายหรือสิทธิเรียกร้องดังกล่าว ซึ่งจำเลยอ้างเพียงฝ่ายเดียวมาหักกลบลบหนี้กับเงินค่าสินค้าของโจทก์ไม่ได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๓๔๔

 ________________________________

                 จากคำตัดสินของศาลสูงดังกล่าว จะเห็นได้ว่า การหักกลบลบหนี้นั้นสามารถนำมาเป็นข้อต่อสู้ทางคดีกันได้ แต่หากอีกฝ่ายโต้แย้งว่าหนี้นั้นยังไม่ถูกต้องก็เท่ากับว่ามูลหนี้ที่ยกขึ้น ต่อสู้เพื่อนำมาหักกลบลบหนี้กับโจทก์ยังไม่เป็นที่ยุติ จึงเป็นภาระของฝ่ายจำเลยที่จะต้องพิสูจน์ แต่ในคดีดังกล่าวจำเลยไม่ได้ฟ้องแย้ง(การฟ้องกลับไปในคดีเดียวกัน) จึงไม่สามารถพิสูจน์ให้เป็นข้อยุติในเรื่องมูลหนี้ที่จะนำมาหักทอนกันได้ ทำให้ต้องเสียประโยชน์ไปในที่สุด

               หวังว่าจะเป็นความรู้แก่ท่านผู้อ่านไม่มากก็น้อย ซึ่งหากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามเข้ามาได้ และช่วยกันเผยแพร่ให้เป็นความรู้แก่บุคคลทั่วไปครับ


ที่ปรึกษากฎหมาย นิติ ลอว์
#ปรึกษากฎหมาย‬  ‪#‎หักกลบลบหนี้‬

วันพุธที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2558

“ข้อมูลการบริหารสิทธิ” คำๆนี้มีความสำคัญอย่างไร

               ต่อจากนี้ไป ท่านจะได้เห็น ได้ยินคำๆนี้บ่อยยิ่งขึ้น ข้อมูลการบริหารสิทธิ คือ ข้อมูลอะไรก็ได้ที่บ่งชี้ถึง ผู้สร้างสรรค์ งานสร้างสรรค์ นักแสดง การแสดง เจ้าของลิขสิทธิ์ หรือระยะเวลาและเงื่อนไขการใช้งานอันมีลิขสิทธิ์ ตลอดจนตัวเลขหรือรหัสแทนข้อมูลดังกล่าว โดยข้อมูลเช่นว่านี้ได้ติดอยู่หรือปรากฏเกี่ยวข้องกับงานอันมีลิขสิทธิ์หรือสิ่งบันทึกการแสดง ตัวอย่าง เช่น ลายน้ำบนภาพถ่าย ซึ่งเราจะเห็นกันอยู่บ่อยครั้งบนภาพตามที่ต่างๆในโซเชียลมีเดีย หรือจะเป็นสติ๊กเกอร์โฮโลแกรมผลแผ่นซีดี เป็นต้น





                ข้อมูลการบริหารสิทธิ มีไว้เพื่อแสดงถึง อ้างอิงถึง สิทธิต่างๆ เงื่อนไขต่างๆ ในงานอันมีลิขสิทธิ์ตามกฎหมาย เช่น ลายน้ำบนภาพถ่าย เครื่องหมายสิทธิบนแผ่นซีดี ฯลฯ ที่ติดอยู่บนชิ้นงานจึงทำให้รู้ว่าภาพหรือผลงานดังกล่าวเป็นของใคร หรือให้สิทธิ์การใช้งานอย่างไรได้บ้าง ซึ่งเราจะไปนำภาพหรือผลงานดังกล่าวมาใช้โดยพลการ หรือให้แตกต่างไปจากที่เจ้าของผลงานกำหนดไม่ได้ ทั้งนี้ ตามเงื่อนไขเรื่องลิขสิทธิ์ดังที่ผมได้เคยกล่าวในเพจนี้มาก่อนแล้ว






                ที่จริง เรื่องข้อมูลการบริหารสิทธิและการทำละเมิดนั้นไม่ใช่เรื่องใหม่ เพียงแต่ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗ เสียใหม่ให้มีเนื้อหาที่ชัดเจนขึ้น และเพิ่มเติมให้การกระทำใดๆ ไม่ว่าจะเป็นการลบหรือเปลี่ยนแปลงข้อมูลการบริหารสิทธิ โดยรู้อยู่แล้วว่าการกระทำนั้นอาจจูงใจให้เกิด หรือก่อให้เกิด หรือเป็นการให้ความสะดวก หรือเป็นการปกปิด ในการละเมิดลิขสิทธิ์หรือสิทธิของนักแสดง ให้ถือว่าเป็นการ #ละเมิดข้อมูลการบริหารสิทธ "ทันที" ซึ่งแต่เดิมการกระทำดังกล่าวถือเป็นเพียงขั้นตอนของการกระทำละเมิดลิขสิทธิ์ หรือละเมิดสิทธินักแสดงเท่านั้น แต่ปัจจุบัน ขั้นตอนการกระทำดังกล่าว ถือเป็นความผิดต่อกฎหมายในทางอาญาอีกสถานหนึ่งด้วย และนอกจากการกระทำโดยตรงกับผลงานดังที่กล่าวมาแล้ว ผู้ที่ นำหรือสั่งเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อจำหน่าย หรือ เผยแพร่ต่อสาธารณชน โดยรู้อยู่แล้วว่างานหรือสำเนางานอันมีลิขสิทธิ์นั้นได้มีการลบหรือเปลี่ยนแปลงข้อมูลการบริหารสิทธิ ให้ถือว่าผู้นั้นกระทำการละเมิดข้อมูลการบริหารสิทธิด้วย




                แต่กฎหมายก็มีข้อยกเว้นไว้ว่า การกระทำใด ๆ ดังต่อไปนี้ ไม่ให้ถือว่าเป็นการละเมิดข้อมูลการบริหารสิทธิ




                (๑) การลบหรือเปลี่ยนแปลงข้อมูลการบริหารสิทธิโดยเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจตามกฎหมาย เพื่อบังคับการให้เป็นไปตามกฎหมาย การอันจำเป็นในการป้องกันประเทศ การรักษาความมั่นคงแห่งชาติ หรือวัตถุประสงค์อื่นในทำนองเดียวกัน




                (๒) การลบหรือเปลี่ยนแปลงข้อมูลการบริหารสิทธิโดยสถาบันการศึกษา หอจดหมายเหตุ ห้องสมุด หรือองค์กรแพร่เสียงแพร่ภาพสาธารณะ ที่ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อหากำไร




                (๓) การเผยแพร่ต่อสาธารณชนซึ่งงานหรือสำเนางานอันมีลิขสิทธิ์ที่มีการลบหรือเปลี่ยนแปลงข้อมูลการบริหารสิทธิ โดยสถาบันการศึกษา หอจดหมายเหตุ ห้องสมุด หรือองค์กรแพร่เสียงแพร่ภาพสาธารณะ ที่ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อหากำไร




                ลักษณะของข้อมูลการบริหารสิทธิตาม (๒) และงานหรือสำเนางานอันมีลิขสิทธิ์ที่มีการลบหรือเปลี่ยนแปลงข้อมูลการบริหารสิทธิตาม (๓) ให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎกระทรวง




****************************








                ผู้ที่กระทำการละเมิดข้อมูลการบริหารสิทธิ ต้องระวางโทษปรับตั้งแต่ หนึ่งหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนบา




                แต่ถ้าเป็นการกระทำเพื่อการค้า
               

               ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามเดือนถึงสองปี หรือปรับตั้งแต่ห้าหมื่นบาทถึงสี่แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ



****************************




               จากบทกำหนดโทษข้างต้น คงเห็นแล้วนะครับ ว่าการทำละเมิดข้อมูลการบริหารสิทธินั้นเป็นความผิด และมีโทษทางอาญาโดยทันที โดยไม่ต้องคำนึงว่าได้กระทำไปเพื่อการค้าหรือไม่ ยิ่งถ้าทำเพื่อการค้า โทษยิ่งหนักขึ้น ดังนั้นท่านที่ทำธุรกิจต่างๆที่เกี่ยวข้องกับงานอันมีลิขสิทธิ์ของผู้อื่น จึงต้องเร่งทำความเข้าใจให้ถ่องแท้ เพื่อป้องกันปัญหาทางกฎหมายที่อาจตามมา ส่วนนักท่องโซเชียลมีเดียทั้งหลาย ก็ต้องพึงระวังให้มากเช่นกัน จะทำสิ่งใดโดยพลการไม่ได้ โดยเฉพาะผู้ที่ชอบนำภาพ หรือผลงานของผู้อื่นมาใช้ แล้วตัดลายน้ำบนภาพที่นำมาออกไปแล้วนำไปใช้เป็นของตน หรือคัดลอกข้อความ ผลงานใดๆของบุคคลอื่นมาโดยไม่ได้รับอนุญาต และไม่ได้ให้เครดิตในผลงานนั้นแก่เจ้าของผลงาน นอกจากจะละเมิดลิขสิทธิ์งานผู้อื่นตามกฎหมายเดิมที่มีอยู่แล้ว ยังจะต้องรับโทษเพิ่มขึ้นตามกฎหมายใหม่อีกด้วย




                ***ขอเสริมเรื่องการ #แชร์โพสต์จากFacebook  หรือ #Google+ หรือโซเชียลเมีเดียอื่นที่ เน้นการแชร์โพสต์ได้โดยตัวระบบเองนั้น   ส่วนตัวผมมองเป็นสองประเด็น




                ประเด็นแรก คือโพสต์ที่กำหนดค่าไว้เป็นสาธารณะนั้นแชร์ได้ตามที่ Facebook ได้ตั้งระบบไว้ ส่วนโพสต์ที่กำหนดค่าให้แสดงผลไว้เฉพาะกลุ่ม หรือ ส่วนบุคคล การแชร์ออกมานอกวัตถุประสงค์ทำไม่ได้ อีกกรณี คือ การ Copy งานดังกล่าวมาโพสต์โดยพลการ ทำไม่ได้เช่นกัน ซึ่งเรื่องนี้ต้องลงรายละเอียดกันอีกมาก หากท่านใดต้องการทราบรายละเอียดเพิ่มเติมก็สอบถามเข้ามาได้ครับ




                หวังว่าจะเป็นความรู้แก่ท่านผู้อ่านไม่มากก็น้อย ซึ่งหากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามเข้ามาได้ และช่วยกันเผยแพร่ให้เป็นความรู้แก่บุคคลทั่วไปครับ








วันพฤหัสบดีที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ปัญหา การซื้อทรัพย์จากการบังคับคดี ในประเด็นการขับไล่ผู้อยู่อาศัยในทรัพย์นั้นที่ไม่ยอมย้ายออก จะต้องฟ้องเป็นคดีขับไล่อีกหรือไม่ ?

               ท่านที่เป็นนักลงทุนหน้าเก่าคงรู้คำตอบในเบื้องต้นดีอยู่แล้ว แต่นักลงทุนหน้าใหม่ หรือ บุคคลทั่วไปคงยังไม่ทราบกันแพร่หลายนัก ซึ่งประเด็นนี้เป็นเรื่องที่พบเห็นกันได้อยู่บ่อยครั้ง
มูลเหตุแห่งปัญหาที่พบบ่อยครั้งในเรื่องนี้ก็สืบเนื่องมาจาก ผู้ซื้อทรัพย์นั้นไม่มีข้อมูลของทรัพย์ที่ตนจะประมูลมากเพียงพอ ในบางครั้งไม่ทราบว่าในที่ดิน หรือ อาคารสถานที่แห่งที่ตนจะประมูลซื้อนั้น มีลูกหนี้ตลอดจนบริวารของลูกหนี้ยังคงอาศัยครอบครองอยู่ หรืออาจรู้แต่ก็คิดว่าไม่เป็นไร ซึ่งก็จริงครับหากซื้อแล้วบุคคลเหล่านั้นยินยอมออกไปแต่โดยดี แต่ถ้าไม่ยอมหละ จะทำอย่างไร





                  เรื่องนี้มีคำตอบได้ดังนี้ครับ เมื่อผู้ซื้อได้รับโอนอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าวจากเจ้าพนักงานมาเป็นของตน แล้ว หากในที่ดินหรืออาคารสถานที่แห่งนั้น ยังมีลูกหนี้ตลอดจนบริวารของลูกหนี้อาศัยอยู่แล้วไม่ยอมย้ายยอก ผู้ซื้อสามารถยื่นคำร้องต่อศาลที่อสังหาริมทรัพย์นั้นตั้งอยู่ในเขตอำนาจ เพื่อขอออกคำบังคับให้ลูกหนี้ตามคำพิพากษาหรือบริวารออกไปจากอสังหาริม ทรัพย์นั้นได้โดยไม่ต้องไปฟ้องขับไล่ ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๓๐๙ ตรี ซึ่งสิทธิ์นี้เป็นสิทธิเฉพาะตัวแก่ผู้ซื้อทรัพย์จากการขายทอดตลาดของกรม บังคับคดีโดยตรงเท่านั้น ถ้ามีการขายต่ออีกชั้นหนึ่งผู้ซื้อรายต่อไปจะใช้สิทธิยื่นคำร้องขอออกคำ บังคับโดยไม่ฟ้องขับไล่ไม่ได้ และอีกประการหนึ่งที่เห็นว่ายังมีผู้เข้าใจกันผิดอยู่บ้างก็คือ การซื้อทรัพย์ที่กล่าวถึงนั้น จะต้องเป็นการซื้อจากการขายทอดตลาดเนื่องจากการบังคับคดีเท่านั้น หากเป็นการซื้อมาจากที่ประชุมเจ้าหนี้ในคดีล้มละลาย หรือ ซื้อทรัพย์ที่อยู่ระหว่างการยึดของเจ้าพนักงานบังคับคดีก็ตาม แต่ได้ถอนการยึดไปเพราะเจ้าหนี้ได้ตามประสงค์แล้วโดยไม่มีการขายทอดตลาด เช่นนี้ผู้ซื้อไม่สามารถใช้สิทธิตาม ป.วิ.พ. ม.๓๐๙ ตรี ได้ อีกทั้งกฎหมายบัญญัติชัดเจนว่า ผู้ที่อยู่อาศัยในอสังหาริมทรัพย์แล้วไม่ยอมออกไปนั้น ต้องเป็นลูกหนี้หรือบริวารของลูกหนี้เท่านั้น ถ้าเป็นบุคคลอื่นผู้ซื้อทรัพย์ก็ต้องไปฟ้องขับไล่เป็นคดีใหม่ครับ


                นอกจากนี้ยังมีประเด็นเพิ่มเติมอีกอย่างหนึ่งว่า ถ้าจะไม่ยื่นขอออกคำบังคับ แต่จะฟ้องขับไล่แทนได้หรือไม่

                ท่านคงสงสัยว่าแล้วจะทำเรื่องให้ยุ่งยากไปทำไม ผมเรียนอย่างนี้ครับ เหตุที่มีผู้คิดทำเช่นนี้ก็คือ การร้องขอให้ออกคำบังคับนั้นทำได้เพียงบังคับให้ออกไปอย่างเดียวเท่านั้น แต่การฟ้องขับไล่นอกจากจะบังคับให้ออกไปแล้ว โจทก์ยังสามารถเรียกค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ยจากผู้อยู่อาศัยได้อีกทางหนึ่ง ด้วย ซึ่งประเด็นนี้ ป.วิ.พ. ม.๓๐๙ ตรี นั้นไม่ได้เป็นบทบัญญัติไว้โดยเฉพาะให้ต้องกระทำ จึงขึ้นอยู่กับผู้มีสิทธิ์ว่าจะเลือกใช่หรือไม่ก็ได้
               คงเห็นแล้วนะครับว่าสิทธิของผู้ซื้อทรัพย์ในการขายทอดตลาดจากกรมบังคับคดีมี กฎหมายรองรับไว้แล้ว พูดง่ายๆ ซื้อแล้วหายห่วงได้เลยครับ ทั้งนี้ ก็เพื่อให้กระบวนการบังคับคดีนั้นสามารถบรรลุผลสำเร็จในการแก้ปัญหาหนี้ได้ นั่นเองครับ
                แต่ไม่ว่าอย่างไร ผู้เขียนขอฝากข้อคิดไว้สักนิด หากผู้ซื้อทรัพย์แล้วเจอกรณีเช่นนี้ ก็ขอให้มองมุมกลับด้วยว่า หากผู้ที่อยู่อาศัยนั้นลำบากยากแค้น ก็ขอให้ดำเนินการอย่างเห็นอกเห็นใจกัน โดยให้เวลากันตามสมควร เพื่อที่เขาเหล่านั้นจะได้หาที่อยู่ใหม่ได้ หรืออาจทำสัญญาเช่ากันไป ก็เป็นการสมประโยชน์ทั้งสองฝ่ายครับ

อ้างอิง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 12573/2556
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3712/2555
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6138/2551

หวังว่าจะเป็นความรู้แก่ท่านผู้อ่านไม่มากก็น้อย ซึ่งหากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามเข้ามาได้ และช่วยกันเผยแพร่ให้เป็นความรู้แก่บุคคลทั่วไปครับ

ที่ปรึกษากฎหมาย นิติ ลอว์
‪#‎ปรึกษากฎหมาย‬ ‪#‎บังคับคดี‬ ‪#‎ขับไล่‬

วันจันทร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2558

สถานพยาบาลไม่รับคนเจ็บฉุกเฉินเข้ารักษา แล้วคนเจ็บถึงแก่ความตาย ถือเป็นการทำละเมิดหรือไม่ ?

                วันนี้อ่านข่าวบนโซลเชียลมีเดีย เกี่ยวผู้ปกครองรายหนึ่งอ้างว่าได้นำบุตรซึ่งโดนพัดลมติดผนังตกใส่ แล้วพาคนเจ็บไปยังโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง(น่าจะเป็นโรงพยาบาลเอกชน) แต่มีการเรียกให้วางเงินก่อนถึงจะรับรักษา ทำให้นึกไปถึงข่าวที่ได้เคยเห็น เคยอ่านผ่านๆตาเกี่ยวกับการที่สถานพยาบาลปฏิเสธไม่ยอมรับคนเจ็บเข้ารักษา เพราะไม่สามารถรับรองเรื่องค่ารักษาพยาบาลได้ ซึ่งท่านที่เป็นอาสาสมัครกู้ภัยคงเคยได้ยินเรื่อ งเหล่านี้มาพอสมควร และทำให้ผมนึกไปถึงว่ากรณีเช่นนี้ หากคนเจ็บถึงแก่ความตายเพราะเหตุที่ไม่ได้รับการรักษาโดยเร็วให้ทันท่วงที จะเป็นกรณีทำละเมิดหรือไม่ จึงได้ลองสืบค้นคำพิพากษาศาลฎีกาดูก็พบว่ากรณีทำนองนี้ได้เคยมีการตัดสินไว้ แล้ว ซึ่งวันนี้จะได้ยกมาเป็นกรณีศึกษาสักเรื่องหนึ่งครับ 



คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 11332/2555
จำเลยเป็นผู้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการสถานพยาบาล บุตรของโจทก์ได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์ที่นั่งซ้อนท้ายชนแผง เหล็กกั้นทางโค้งและบุตรของโจทก์มีอาการเจ็บปวด มีภาวะการบอบช้ำของสมองและโลหิตออกในสมอง จะต้องได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที แม้ไม่ปรากฏบาดแผลร้ายแรงที่มองเห็นจากภายนอก แต่พยาบาลเวรซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยกลับให้ผู้ช่วยพยาบาลตรวจค้นหลักฐานใน ตัวบุตรของโจทก์ว่า มีบัตรประกันสังคม บัตรประกันสุขภาพ 30 บาท หรือบัตรประกันชีวิตหรือไม่ เมื่อไม่พบหลักฐานใด จึงสอบถามเจ้าหน้าที่อาสาสมัครมูลนิธิที่เป็นผู้นำส่งว่าใครจะรับผิดชอบค่า ใช้จ่าย เมื่อไม่มีคำตอบ จึงปฏิเสธที่จะรับบุตรของโจทก์ไว้รักษา โดยแนะนำให้ไปรักษายังโรงพยาบาลของรัฐ การที่พยาบาลเวรลูกจ้างของจำเลยปฏิเสธไม่รับบุตรของโจทก์เข้ารับการรักษาดัง กล่าว ถือได้ว่าเป็นผลโดยตรงที่ทำให้บุตรของโจทก์ถึงแก่ความตาย จำเลยซึ่งเป็นนายจ้าง เป็นผู้ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการสถานพยาบาล มีหน้าที่ต้องควบคุมและดูแลให้มีการช่วยเหลือเยียวยาแก่ผู้ป่วย ซึ่งอยู่ในสภาพอันตรายและจำเป็นต้องได้รับการรักษาโดยฉุกเฉิน เพื่อให้ผู้ป่วยพ้นจากอันตรายตามมาตรฐานวิชาชีพ ตาม พ.ร.บ.สถานพยาบาล พ.ศ. 2541 มาตรา 36 แต่กลับไม่ควบคุมดูแลการปฏิบัติงานของลูกจ้างดังกล่าว จึงเป็นการละเมิดต่อโจทก์



               ข้อเท็จจริงจากคำพิพากษาข้างต้น จะเห็นได้ว่า ผู้ได้รับอนุญาตประกอบกิจการสถานพยาบาลนั้น มีหน้าที่ตามกฎหมายที่ต้องช่วยเหลือผู้บาดเจ็บฉุกเฉินที่จะต้องได้รับการ รักษาอย่างทันท่วงที อันเป็นหน้าที่โดยตรง ดังนี้ เมื่อไม่มีเหตุอันสมควรอย่างยิ่งจะปฏิเสธการรักษาไม่ได้ และ จากการละเว้นการทำหน้าที่ของตนนั้นมีผลทำให้ผู้บาดเจ็บถึงแก่ความตาย อันเป็นผลโดยตรงจากละเว้นการทำหน้าที่ดังกล่าว จึงเป็นการทำละเมิด ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทน

                หวังว่าจะเป็นความรู้แก่ท่านผู้อ่านไม่มากก็น้อย ซึ่งหากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามเข้ามาได้ และช่วยกันเผยแพร่ให้เป็นความรู้แก่บุคคลทั่วไปครับ
               
                ที่ปรึกษากฎหมาย นิติ ลอว์

วันพุธที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2558

กฎหมายใหม่เพื่อความเท่าเทียมกันระหว่างเพศ

                ในปัจจุบันสังคมเรา มีทั้งผู้ที่ยึดถือเพศตามธรรมชาติของตน และที่แสดงออกอย่างเพศตรงกันข้ามกับธรรมชาติของตน ตลอดจนผู้ที่แปลงเพศแล้ว ได้อยู่ร่วมกันในสังคมอย่างเปิดเผย ไม่ว่าจะเป็นที่บ้าน ที่ทำงาน ที่สาธารณะ แต่บ่อยครั้งที่เรายังได้ยินข่าวการเรียกร้องจากบุคคล หรือกลุ่มสิทธิต่างๆ ให้มีการปฏิบัติต่อกันอย่างเท่าเทียมไม่ว่าจะเป็นเพศใดก็ตาม ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นปัญหาหนึ่งที่ทางรัฐเห็นความสำคัญจึงได้ออกกฎหมายฉบับ ใหม่ขึ้นมา คือ พระราชบัญญัติ ความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ. ๒๕๕๘ และได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วเมื่อวันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๕๘ ซึ่งกฎหมายฉบับนี้จะมีผลใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วัน ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป



               โดยเหตุผลในการออกกฎหมายฉบับนี้ คือ โดยที่ปัจจุบันไม่มีมาตรการป้องกันการเลือกปฏิบัติ โดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศที่ชัดเจน ส่งผลให้บุคคลซึ่งถูกเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ ไม่ได้รับความคุ้มครองและไม่ได้รับความเป็นธรรมเท่าที่ควร สมควรมีกฎหมายเพื่อกำหนดมาตรการคุ้มครองผู้ถูกเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม ระหว่างเพศ และป้องกันมิให้มีการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ ซึ่งสอดคล้องกับหลักการสิทธิมนุษยชนสากลตามพันธกรณีระหว่างประเทศที่ประเทศ ไทยเข้าเป็นภาคี

               นอกจากนั้นในกฎหมายฉบับนี้ ได้นิยมความหมายของการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศไว้ด้วย โดยหมายความว่า “การกระทำ หรือ ไม่กระทำการใดอันเป็นการ แบ่งแยก กีดกัน หรือจำกัด สิทธิประโยชน์ใด ๆ ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม โดยปราศจากความชอบธรรม เพราะเหตุที่บุคคลนั้นเป็นเพศชายหรือเพศหญิง หรือมีการแสดงออกที่แตกต่างจากเพศโดยกำเนิด”

                เมื่อกฎหมายฉบับนี้มีผลใช้บังคับ ก็จะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของผู้ที่เห็นว่าตนไม่ได้รับการปฏิบัติอย่างเท่า เทียมและเป็นธรรมโดยสาเหตุมาจากเพศของตนหรือที่ตนได้แสดงออก โดยผู้นั้นยังไม่ได้มีการใช้สิทธิ์ดำเนินคดีทางศาลไว้ก่อนแล้ว ก็สามารถยื่นข้อร้องเรียนต่อคณะกรรมการวินิจฉัยการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็น ธรรมระหว่างเพศ เรียกโดยย่อว่า “คณะกรรมการ วลพ.” ได้ เพื่อให้คณะกรรมการดังกล่าวได้วินิจฉัยถึงเหตุที่เกิดขึ้นว่าเป็นการกระทำ ที่ไม่เท่าเทียมกันระหว่างเพศหรือไม่ โดยหากเป็นจริง คณะกรรมการ วลพ. มีอำนาจกำหนดการชดเชยและเยียวยาให้แก่ผู้เสียหายได้ และหากคณะกรรมการ วลพ.มีคำสั่งให้เยียวยาแล้วแต่ผู้รับคำสั่งไม่ยอมปฏิบัติตามก็จะมีโทษทาง อาญา

               กฎหมายฉบับนี้ยังมีรายละเอียดที่น่าสนใจอยู่อีกมาก เชิญเข้าไปศึกษาได้ตามไฟล์ที่แนบมาครับ

ที่มากฎหมาย http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2558/A/018/17.PDF





หวังว่าจะเป็นความรู้แก่ท่านผู้อ่านไม่มากก็น้อย ซึ่งหากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามเข้ามาได้ และช่วยกันเผยแพร่ให้เป็นความรู้แก่บุคคลทั่วไปครับ

ที่ปรึกษากฎหมาย นิติ ลอว์


















วันอาทิตย์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2558

เช็คเด้งแต่ท้ายสุดศาลตัดสินว่าไม่เป็นความผิด(ทางอาญา) เพราะอะไรไปดูกันครับ

               สำหรับท่านที่ประกอบธุรกิจค้าขาย ย่อมทราบดีถึงประโยชน์ของเช็ค  และทราบดีว่าหากเช็คเด้งก็อาจถูกดำเนินคดีอาญาได้ ซึ่งในวันนี้ ที่ปรึกษากฎหมาย นิติ ลอว์  จะได้นำตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกาฉบับหนึ่งในคดีเช็คมาเล่าสู่กันฟังเพื่อเป็นความรู้เรื่องการใช้เช็คในการทำธุรกิจของท่านต่อไป

               ก่อนอื่นขอทำความเข้าใจกับบางท่านที่อาจยังไม่รู้ว่า การดำเนินคดีอันเนื่องจากการสั่งจ่ายเช็คแล้วไม่สามารถเรียกเก็บเงินตามเช็คได้นั้น มีสองประการดังนี้ 
1. คดีอาญา  คือ การดำเนินคดีตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 
2. คดีแพ่ง  คือ การดำเนินคดีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ว่าด้วยเรื่อง ตั๋วเงิน


               ในวันนี้ ที่ปรึกษากฎหมาย นิติ ลอว์  จะพูดถึงคดีเช็ค(อาญา) 
โดยในคำพิพากษาศาลฎีกาฉบับนี้จำเลยได้สั่งจ่ายเช็คเพื่อชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงิน ซึ่งในเบื้องต้นนี้เห็นได้ว่าเป็นการออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย แต่ท้ายที่สุดศาลตัดสินยกฟ้อง ด้วยข้อเท็จจริงที่น่าสนใจเลยครับ  เราลองไปศึกษาดูจากคำพิพากษาศาลฎีกาฉบับกันครับ
   

               คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2144/2556

               โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 มาตรา 4 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91

               จำเลยให้การปฏิเสธ

               ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 มาตรา 4 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 รวม 3 กระทง จำคุกกระทงละ 4 เดือน รวมจำคุก 12 เดือน ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 6 เดือน

               จำเลยอุทธรณ์

               ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง

               โจทก์ฎีกา

               ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่มิได้โต้เถียงกันในชั้นนี้ฟังเป็นยุติว่า  เดิมจำเลยเป็นพนักงานขายรถยนต์ของห้าง.... สาขา.... เมื่อปี 2546 โจทก์และจำเลยเข้าหุ้นกันประกอบกิจการซื้อขายรถยนต์มือสอง โดยโจทก์ลงทุนด้วยเงินสด จำเลยลงทุนด้วยแรงงาน   ทำหน้าที่เป็นผู้ติดต่อซื้อขายรถยนต์กับลูกค้าและตกลง แบ่งกำไรให้จำเลยร้อยละ 40 จนถึงกลางปี 2547 ก็เลิกการเป็นหุ้นส่วนกัน  แต่จำเลยยังคงประกอบกิจการต่อและกู้ยืมเงินจากโจทก์ไปลงทุนหลายครั้ง  เฉพาะที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้จำเลยกู้ยืมเงินโจทก์รวม 5 ครั้ง  ซึ่งในการกู้ยืมเงินแต่ละครั้งจำเลยได้ออกเช็คธนาคาร.....  สาขา..... มอบให้ไว้แก่โจทก์ รวมแล้วมี 6 ฉบับ   ฉบับที่ 1 ลงวันที่ 30 เมษายน 2548 จำนวนเงิน 1,200,000 บาท
ฉบับที่ 2 ลงวันที่ 1 กรกฎาคม 2548 จำนวนเงิน 1,200,000 บาท  และฉบับที่ 3 ลงวันที่ 31 มีนาคม 2548 จำนวนเงิน 340,000 บาท    ฉบับที่ 4 ลงวันที่ 20 เมษายน 2548 จำนวนเงิน 1,200,000 บาท
ฉบับที่ 5 ลงวันที่ 24 เมษายน 2548 จำนวนเงิน 325,000 บาท และฉบับที่ 6 ลงวันที่ 24 เมษายน 2548 จำนวนเงิน 1,015,000 บาท   ครั้นเช็คทั้งหกฉบับถึงกำหนด ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คทุกฉบับ คดีสำหรับเช็คฉบับที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ยุติไปตามคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้ยกฟ้องในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง

               "มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า"  จำเลยออกเช็คฉบับที่ 3 ที่ 5 และที่ 6 เพื่อชำระหนี้เงินกู้ยืมหรือไม่  โดยโจทก์ฎีกาว่า จำเลยกู้ยืมเงินไปจากโจทก์  และจำเลยยังทำหลักฐานการกู้ยืมเงินกับเขียนระบุไว้ชัดเจนว่า  จะชำระหนี้ด้วยเช็คพิพาท โดยจำเลยมิได้ถูกโจทก์บังคับขู่เข็ญ  แม้โจทก์จะทราบถึงฐานะการเงินของจำเลยดีว่าขาดสภาพคล่องอาจไม่สามารถหาเงิน  มาชำระหนี้ทั้งหมดได้ก็ตาม แต่มิได้หมายความว่าจำเลยจะต้องออกเช็คพิพาทเพื่อประกันหนี้กู้ยืมเสมอไป  ฟังได้ว่า  จำเลยออกเช็คพิพาทเพื่อชำระหนี้เงินกู้ยืมตามที่โจทก์นำสืบ มิใช่เพื่อประกันหนี้

               เห็นว่า(ความเห็นในศาลฎีกา) ตามหนังสือสัญญาเงินกู้และหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงิน แม้มีข้อความระบุไว้ชัดเจนว่าจำเลยกู้ยืมเงินโจทก์ไปจริงและจะชำระหนี้ด้วยเช็คพิพาท   แต่ในการค้นหาเจตนาที่แท้จริงจำต้องพิจารณาข้อเท็จจริงอื่น ๆ ประกอบเข้าด้วย โดยเฉพาะพฤติการณ์แห่งการกระทำทั้งหลายในขณะที่มีการออกเช็ค  หาใช่ต้องถือตามข้อความที่เป็นลายลักษณ์อักษรโดยฝ่ายเดียว   ซึ่งในข้อนี้เดิมได้ความว่าจำเลยเป็นเพียงพนักงานขายรถยนต์  แต่เหตุที่จำเลยมาร่วมกับโจทก์ประกอบกิจการซื้อขายรถยนต์มือสองได้ก็เพราะมีโจทก์เป็นคนออกเงินทุนให้   และที่จำเลยสามารถลงทุนได้ด้วยแรงงานเพียงอย่างเดียว   "แสดงว่าโจทก์เองทราบเป็นอย่างดีมาตั้งแต่ต้นว่าจำเลยไม่มีหนทางใดที่จะหาเงินมาลงทุนด้วยได้เลย"  เพราะไม่เช่นนั้นโจทก์คงไม่ยอมให้จำเลยเอาเปรียบที่ไม่ต้องเสี่ยงต่อการสูญเสียเงินลงทุนหากกิจการประสบภาวะขาดทุน   ซึ่งสอดคล้องกับที่โจทก์กล่าวในฎีกาว่า โจทก์เองทราบถึงฐานะการเงินของจำเลยดีว่าขาดสภาพคล่องและอาจไม่สามารถหาเงินมาชำระหนี้ทั้งหมดได้   ดังนี้  การที่โจทก์ให้จำเลยกู้ยืมเงินจำนวนมากและหลายครั้งในระยะเวลาต่อเนื่องใกล้เคียงกัน   โดยที่จำเลยยังมิได้ชำระหนี้เดิมให้เสร็จสิ้นหรือแม้บางส่วน   เชื่อว่า  โจทก์ทราบดีว่าจำเลยจะยังคงไม่สามารถที่จะหาเงินมาชำระหนี้ซึ่งมีจำนวนมากให้แก่โจทก์ในระยะเวลาอันใกล้ได้เลย   ถึงแม้  เป็นเรื่องที่จำเลยกระทำไปโดยสมัครใจของจำเลยเองมิได้เกิดจากการบังคับขู่เข็ญของโจทก์ และ จำเลยยอมรับว่าเป็นหนี้เงินกู้ยืมโจทก์และออกเช็คพิพาทให้ไว้แก่โจทก์จริง  ก็เป็นการยอมรับการเป็นหนี้ในทางแพ่งเท่านั้น หาใช่เป็นการยอมรับว่าจำเลยออกเช็คเพื่อการชำระหนี้เงินกู้ยืมด้วยไม่  กับได้ความอีกว่าในการเปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันเพื่อการใช้เช็คพิพาทของ จำเลย  จำเลยเพิ่งกระทำด้วยการฝากเงิน 10,000 บาท ก่อนการกู้ยืมเงินโจทก์และออกเช็คพิพาทให้แก่โจทก์ไม่นานนัก  แต่หลังจากนั้นไม่มีการติดต่อกับธนาคารเพื่อขอทำธุรกรรมใด ๆ ในบัญชีอีกเลย เจือสมกับที่จำเลยนำสืบว่า  โจทก์บอกว่าจะเป็นนายทุนให้จำเลยกู้ยืมเงินและให้จำเลยไปเปิดบัญชีที่ธนาคารเพื่อขอใช้เช็ค จำเลยจึงไปเปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันที่ธนาคาร.... สาขา....  และเมื่อจำเลยไปกู้ยืมเงินโจทก์ โจทก์ก็จะให้จำเลยออกเช็คมอบให้โจทก์ไว้เป็นประกัน และที่เช็คฉบับที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 มีการแก้ไขข้อความวันที่และจำนวนเงิน ได้ความว่าเป็นการนำเช็คที่จำเลยออกให้แก่โจทก์ไว้เดิมมาแก้ไขด้วยเหตุที่จำเลยกู้ยืมเงินเพิ่มเติม ซึ่งฟังเป็นยุติตามคำสั่งศาลชั้นต้นว่าโจทก์เพียงยึดถือเช็คดังกล่าวไว้เป็นประกันหนี้เงินกู้ยืม  ยังเป็นข้อเท็จจริงอันเดียวเกี่ยวพันกับการออกเช็คฉบับที่ 3 ที่ 5 และที่ 6 ทั้งการที่โจทก์มิได้นำเช็คไปเรียกเก็บเงินในทันทีที่เช็คแต่ละฉบับถึงกำหนดใช้เงิน แต่นำเช็คหลายฉบับไปเรียกเก็บในคราวเดียวกัน ยังเป็นข้อบ่งชี้ว่าเป็นเพราะโจทก์ทราบดีอยู่แล้วว่าถึงอย่างไรเช็คก็ไม่ สามารถเรียกเก็บเงินได้ตามกำหนดนั่นเอง

               "เมื่อพิจารณาประกอบพฤติการณ์แห่งความสัมพันธ์และการกระทำซึ่งโจทก์ทราบถึง ฐานะการเงินของจำเลยเป็นอย่างดีมาตั้งแต่ต้น เชื่อว่าขณะที่จำเลยกู้ยืมเงินโจทก์แล้วออกเช็คพิพาทให้ไว้แก่โจทก์ล่วงหน้า โจทก์ทราบดีแล้วว่าจำเลยไม่มีทางที่จะชำระเงินตามเช็คได้ แต่ที่โจทก์ยอมรับเช็คไว้ก็เพื่อเป็นประกันหนี้และอาจนำมาฟ้องร้องบีบบังคับ จำเลยเป็นคดีอาญาได้อีกทางหนึ่งเท่านั้น พยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมาฟังไม่ได้ว่าจำเลยออกเช็คฉบับที่ 3 ที่ 5 และที่ 6 เพื่อชำระหนี้เงินกู้ยืม จำเลยไม่มีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 มาตรา 4"   ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น

               พิพากษายืน

……………………………………………….

              เป็นข้อเท็จจริงที่ควรศึกษาให้ท่องแท้  โดยคดีนี้ ศาลฎีกาท่านเห็นว่า แต่เริ่มออกเช็คนั้นโจทก์ก็ทราบดีว่าจำเลยไม่มีความสามารถที่จะจ่ายเงินตามเช็คได้อยู่แต่ต้นแล้ว  การที่โจทก์ยอมรับเช็คไว้ก็เพื่อค้ำประกันหนี้และการนำคดีอาญามาบีบบังคับจำเลย    ดังนั้น โจทก์จะมาเอาผิดจำเลยในคดีอาญาไม่ได้  ท้ายสุด คดีจึงยกฟ้อง 

              หวังว่าจะเป็นความรู้แก่ท่านผู้อ่านไม่มากก็น้อย  ซึ่งหากมีข้อสงสัยสอบถามเข้ามาได้ และช่วยกันเผยแพร่ให้เป็นความรู้แก่บุคคลทั่วไปครับ

ที่ปรึกษากฎหมาย นิติ ลอว์