คำตอบคือจริง
"แต่" ต้องเป็นสัญญาค้ำประกัน ที่ทำขึ้นนับแต่วันที่มาตรา ๖๘๑/๑ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งได้บัญญัติขึ้นใหม่มีผลใช้บังคับแล้วเท่านั้น
ดังนั้น สัญญาค้ำประกันที่ได้ทำกันก่อนที่ มาตรา ๖๘๑/๑
จะมีผลใช้บังคับก็ยังคงมีผลเป็นเช่นเดิม คือ
ยังบังคับให้ให้ผู้ค้ำประกันต้องรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมได้
"มาตรา ๖๘๑/๑ ข้อตกลงใดที่กำหนดให้ผู้ค้ำประกันต้องรับผิดอย่างเดียวกับลูกหนี้ร่วมหรือในฐานะเป็นลูกหนี้ร่วม ข้อตกลงนั้นเป็นโมฆะ"
กรณีนี้ถือเป็นการปลดภาระให้กับผู้ค้ำประกันซึ่งจะได้มีการทำสัญญากันในภาย
หน้า ไม่ให้ต้องยอมรับสภาพอย่างลูกหนี้ร่วมอีกต่อไป ดังนั้น
แม้สัญญาจะได้กำหนดข้อให้รับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมไว้
แต่การทำสัญญาได้ทำเมื่อ ปพพ.มาตรา ๖๘๑/๑ มีผลใช้บังคับแล้ว
ข้อกำหนดนั้นก็จะตกเป็นโมฆะไม่สามารถนำมาบังคับกันได้ตามกฎหมาย
รายละเอียดกฎหมายและกำหนดบังคับใช้ดูได้ตามลิงค์ครับ
http://nitilawlegaladvisors.blogspot.com/2014/11/blog-post.html
ให้คำปรึกษาและบริการทางกฎหมายด้วยระบบออนไลน์ โทร.0815709610 Line ID: nitilaw
วันพุธที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2557
วันเสาร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557
หลักค้ำประกันใหม่รู้ก่อนได้เปรียบ
ด้วยมีการแก้ไขประมวลกฎหมาย แพ่งและพาณิชย์ในส่วนที่เกี ่ยวกับการค้ำประกัน ซึ่งได้แก้ไขใหม่หลายมาตราอ ยู่เช่นกัน และประกาศในราชกิจจานุเบกษา แล้วเมื่อวันที่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ โดยให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำห นดเก้าสิบวันนับแต่วันประกา ศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไ ป คือ มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ เป็นต้นไป
พูดถึงเรื่องการค้ำประกันทุ กท่านย่อมรู้จักกันดี บางท่านอาจได้เคยผ่านการเป็ นผู้ค้ำประกันมาแล้วเสียด้ว ยซ้ำ บางท่านเป็นเจ้าหนี้ บางท่านอาจเป็นลูกหนี้ ซึ่งตามกฎหมายการค้ำประกันน ั้นไม่ได้มีเพียงเรื่องกู้ย ืมเงินกันเท่านั้น ในทางธุรกิจก็มีการนำเอาหลั กเรื่องค้ำประกันความเสียหา ยมาใช้อยู่ก็มาก ซึ่งหลักการค้ำประกันที่แก้ ไขใหม่นี้มีทั้งการห้าม มีทั้งการกำหนดขั้นตอนวิธีก ารในการบอกกล่าวทวงถาม ดังนั้น ลูกหนี้ เจ้าหนี้ ผู้ค้ำประกัน ควรได้รับรู้ไว้เพื่อไม่กระ ทำการผิดไปจากที่กฎหมายได้ก ำหนด
รายละเอียดกฎหมายที่แก้ไขให ม่ดูได้ตามไฟล์ภาพประกอบ ท่านที่สนใจเข้าไปศึกษาและผมจะได้หยิบยกข้อกฎหมายเ กี่ยวกับการค้ำประกันที่แก้ ไขใหม่นี้ มาพูดคุยกันในคราวต่อไปครับ
"พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติ มประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย ์ (ฉบับที่ ๒๐) พ.ศ. ๒๕๕๗"
พูดถึงเรื่องการค้ำประกันทุ
รายละเอียดกฎหมายที่แก้ไขให
"พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติ
วันอังคารที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2557
ขยายความคิดเห็นต่อฎีกาดัง กรณีรถหายในห้าง (ฎ. 7471/2556)

โดยประเด็นนี้มีผู้สอบถามเข้า มาพอสมควร ซึ่งในเรื่องนี้มีข้อน่าสังเกตว่า ความรับผิดเช่นนี้จะคงมีต่อห้างสรรพสินค้าเพียงอย่างเดียวหรือไม่
ผู้ประกอบการธุรกิจประเภทอื่นควรคำนึงถึงกรณีความรับผิดอันอาจเกิดขึ้นต่อ กิจการของตนหรือไม่ ?
จากคำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าวได้ข้อเท็จจริงอันสำคัญ ดังนี้
“ห้างสรรพสินค้า” ได้รับผลประโยชน์โดยตรงจากการมีที่จอดรถให้แก่ลูกค้า เพราะมีที่จอดรถย่อมทำให้ลูกค้าสนใจที่จะเข้ามาซื้อสินค้ากับห้าง
“เจ้าของรถ” ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าเจ้าของรถได้กระทำด้วยความประมาทจนเป็นเหตุให้รถของตนสูญหาย
ท่านจะเห็นได้ว่า เมื่อห้างได้รับประโยชน์จากการจัดให้มีที่จอดรถให้แก่ลูกค้าเพื่อดึงดูดใจ ลูกค้ามาซื้อสินค้าภายในห้างของตน ดังนี้ ห้างย่อมต้องมีหน้าที่รักษาความปลอดภัยให้แก่รถของ”ลูกค้าของห้าง”ด้วย เมื่อห้างละเลยเรื่องการตรวจสอบให้ดีพอเพื่อป้องกันอันตรายอันเกิดแก่รถยนต์ ของลูกค้าซึ่งนำเข้ามาจอดยังที่จอดรถดังกล่าว จึงเป็นการละเว้นสิ่งที่ห้างต้องกระทำตามหน้าที่ต่อลูกค้าของตน และเมื่อการละเลยดังกล่าวเป็นเหตุให้รถยนต์ของลูกค้าสูญหายจึงเป็นการละเมิด ต่อลูกค้าโดยตรง ห้างจึงต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ลูกค้า
แล้วกรณีเช่นนี้ จะนำไปใช้กับกิจการอื่นๆนอกจากห้างสรรพสินค้าได้หรือไม่ หากเป็นกรณีโรงแรม หอพัก ร้านอาหาร ร้านค้า ฯลฯ จะเป็นเช่นไร ?
เป็นเรื่องที่น่าคิดมากครับ ที่จริงบางกิจการมีกฎหมายเฉพาะอยู่เช่นกัน แต่เมื่อลองมองในมุมของเรื่องละเมิดแล้ว ผมเห็นว่าหากการที่กิจการต่างๆมีที่จอดรถไว้เพื่อประโยชน์ในการ “ตัดสินใจ” ในการเข้าใช้บริการ หรือเข้าซื้อสินค้าของตน แล้ว ก็น่าจะมีหน้าที่และความรับผิดเช่นเดียวกับห้างตามคำพิพากษาดังกล่าวด้วย
ข้อสังเกต.
ถ้านำรถมาจอดในที่จอดรถของห้างแต่ไม่เข้าใช้บริการหรือซื้อสินค้าในห้าง เช่นนี้ ห้างต้องรับผิดหรือไม่
ซึ่งประเด็นนี้ ผมตั้งเป็นข้อสังเกตไว้ว่า ผู้เอารถเข้าไปจอดในที่จอดรถของห้างไม่มีเจตนาเข้าใช้บริการหรือจับจ่ายซื้อ สินค้าในห้างมาแต่ต้น เพียงฉวยโอกาสเข้าไปใช้ความสะดวกจากบริการที่ห้างมีให้แก่ลูกค้าของห้างเท่า นั้น หากมีข้อเท็จจริงนี้เกิดขึ้นประการหนึ่ง หรือ ลูกค้าของห้างประมาทเลินเล่ออย่างชัดเจนไม่ว่าทางหนึ่งทางใดจนเป็นเหตุให้รถ ของตนสูญหาย ผลของคำพิพากษาจะยังคงเป็นเช่นดังคำพิพากษาศาลฎีกาฉบับนี้อยู่หรือไม่
ขอทิ้งท้ายให้คิดเป็นข้อเตือนใจ ว่าอย่างไรแล้วจะนำรถเข้าไปจอดในที่จอดของห้างก็ ต้องอุดหนุนห้างด้วย และต้องรู้จักระมัดระวังทรัพย์สินของตนให้ดี เพราะแม้รถจะหายจากห้างเหมือนกันแต่ข้อเท็จจริงแต่ละคดีที่ต่างกันออกไปอาจเป็นผลให้คำพิพากษาต่างกันออกไปด้วย
....................................................
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7471/2556
ป.พ.พ. มาตรา 420
จำเลยเป็นห้างสรรพสินค้าขายปลีกและขายส่งสินค้าอุปโภคและบริโภค ย่อมต้องให้ความสำคัญด้านบริการต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริการเกี่ยวกับสถานที่จอดรถซึ่งนับเป็นปัจจัยสำคัญในการ ตัดสินใจของลูกค้าที่จะเข้าไปซื้อสินค้าหรือใช้บริการอื่น ๆ หรือไม่ แม้ พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 มาตรา 8 (9), 34 บัญญัติให้จำเลยซึ่งเป็นเจ้าของอาคารต้องจัดให้มีพื้นที่จอดรถเพื่ออำนวย ความสะดวกแก่การจราจร แต่จำเลยยังต้องคำนึงและมีหน้าที่ดูแลความปลอดภัยของลูกค้าทั้งในชีวิตและ ทรัพย์สิน มิใช่ปล่อยให้ลูกค้าระมัดระวังหรือเสี่ยงภัยเอาเอง การที่จำเลยเคยจัดให้มีการแจกบัตรสำหรับรถของลูกค้าที่เข้ามาในห้างซึ่งเป็น วิธีการที่ค่อนข้างรัดกุม เพราะหากไม่มีบัตรผ่าน กรณีจะนำรถยนต์ออกไปจะต้องถูกตรวจสอบโดยพนักงานของจำเลย แต่ขณะเกิดเหตุกลับยกเลิกวิธีการดังกล่าวเสียโดยใช้กล้องวรจรปิดแทน เป็นเหตุให้คนร้ายสามารถเข้าออกลานจอดรถห้างฯ ของจำเลยและโจรกรรมรถได้โดยง่ายยิ่งขึ้น แม้จำเลยจะปิดประกาศว่าจะไม่รับผิดชอบต่อการสูญหายหรือเสียหายใดๆ รวมทั้งการที่ลูกค้าก็ทราบถึงการยกเลิกการแจกบัตรจอดรถ แต่ยังนำรถเข้ามาจอดก็ตาม ก็เป็นเรื่องข้อกำหนดของจำเลยแต่ฝ่ายเดียวไม่มีผลเป็นการยกเว้นความรับผิดใน การทำละเมิดของจำเลย
วันพุธที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2557
วันรพี
วันนี้ถือเป็นวันสำคัญของวงการกฎหมายวันหนึ่ง เรียกกันสั้นๆว่า "วันรพี"
เนื่องจากพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ทรงสิ้นพระชนม์ ในวันที่ ๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๖๓
พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์เป็นพระราชโอรสองค์ที่ 14 ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระองค์ที่ 2 ในเจ้าจอมมารดาตลับ พระองค์ทรงเปรียบได้ดั่งบิดาของวงการกฎหมายสมัยใหม่ของไทย
พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ทรงเป็นเสนาบดีกระทรวงยุติธรรม พระองค์ทรงมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการปฏิรูปการศาล ซึ่งปัญหาสำคัญสำหรับศาลไทยในเวลานั้น คือ เรื่องของศาลกงสุลต่างชาติ ที่มีอยู่เป็นจำนวนมากในยุคนั้น เป็นที่รู้กันว่าชาวต่างเหล่านี้มีอำนาจอิทธิพลมาก เมื่อเกิดคดีความหรือข้อโต้แย้ง ชาวไทยมักตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ เพราะชาวต่างชาติมักจะอ้างว่ากฎหมายยังล้าหลังไม่ทันสมัยเพื่อเป็นข้ออ้าง เอาเปรียบชาวไทยซึ่งสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการที่ผู้พิพากษาและเจ้าหน้าที่ศาล ของไทยยังไม่พร้อมที่จะรับข้อกฎหมายใหม่ๆ ในเวลานั้น พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ทรงแก้ปัญหาเรื่องนี้โดยการจ้างชาวต่างชาติมาเป็น ผู้พิพากษาเป็นเหตุให้ผู้พิพากษาศาลไทยเกิดความกระตือรือร้นเร่งศึกษาชา กฎหมายไทยและต่างประเทศทำให้ศาลไทยมีความเชื่อถือมากขึ้นและเป็นที่ยอมรับ ของชาวต่างชาติ ถึงกับยกเลิกศาลกงสุลยอมให้คนชาติตัวเองมาขึ้นศาลไทยนอกจากนั้น ยังทรงปฏิรูปการศาลในด้านอื่นอีกมากมาย อาทิ
ขอพระราชทานพระบรมราชาอนุญาตให้ศาลในสังกัดกระทรวงยุติธรรมสามารถกำหนดโทษ เองได้ เนื่องจากในสมัยนั้นเมื่อศาลกำหนดโทษจำคุกผู้ต้องหาแล้ว ต้องให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงกำหนดเวลาให้อีกชั้นหนึ่ง ซึ่งเป็นเหตุของความล่าช้าในวงการศาล
ทรงปรับปรุงเงินเดือนผู้พิพากษาให้เหมาะสมกับตำแหน่งหน้าที่
ออกประกาศ ออกประกาศยกเลิก หรือแก้ไขพระราชบัญญัติ กฎเสนาบดีกว่า 60 ฉบับ เพื่อแก้ไขจุดที่บกพร่อง เพิ่มสิทธิของคู่ความให้เท่าเทียมกัน หรือแก้ไขบทลงโทษที่ล้าหลัง
หมายเหตุ
ที่มาข้อมูล วิกิพีเดีย
http://th.wikipedia.org/wiki/รพี
เนื่องจากพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ทรงสิ้นพระชนม์ ในวันที่ ๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๖๓
พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์เป็นพระราชโอรสองค์ที่ 14 ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระองค์ที่ 2 ในเจ้าจอมมารดาตลับ พระองค์ทรงเปรียบได้ดั่งบิดาของวงการกฎหมายสมัยใหม่ของไทย
พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ทรงเป็นเสนาบดีกระทรวงยุติธรรม พระองค์ทรงมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการปฏิรูปการศาล ซึ่งปัญหาสำคัญสำหรับศาลไทยในเวลานั้น คือ เรื่องของศาลกงสุลต่างชาติ ที่มีอยู่เป็นจำนวนมากในยุคนั้น เป็นที่รู้กันว่าชาวต่างเหล่านี้มีอำนาจอิทธิพลมาก เมื่อเกิดคดีความหรือข้อโต้แย้ง ชาวไทยมักตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ เพราะชาวต่างชาติมักจะอ้างว่ากฎหมายยังล้าหลังไม่ทันสมัยเพื่อเป็นข้ออ้าง เอาเปรียบชาวไทยซึ่งสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการที่ผู้พิพากษาและเจ้าหน้าที่ศาล ของไทยยังไม่พร้อมที่จะรับข้อกฎหมายใหม่ๆ ในเวลานั้น พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ทรงแก้ปัญหาเรื่องนี้โดยการจ้างชาวต่างชาติมาเป็น ผู้พิพากษาเป็นเหตุให้ผู้พิพากษาศาลไทยเกิดความกระตือรือร้นเร่งศึกษาชา กฎหมายไทยและต่างประเทศทำให้ศาลไทยมีความเชื่อถือมากขึ้นและเป็นที่ยอมรับ ของชาวต่างชาติ ถึงกับยกเลิกศาลกงสุลยอมให้คนชาติตัวเองมาขึ้นศาลไทยนอกจากนั้น ยังทรงปฏิรูปการศาลในด้านอื่นอีกมากมาย อาทิ
ขอพระราชทานพระบรมราชาอนุญาตให้ศาลในสังกัดกระทรวงยุติธรรมสามารถกำหนดโทษ เองได้ เนื่องจากในสมัยนั้นเมื่อศาลกำหนดโทษจำคุกผู้ต้องหาแล้ว ต้องให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงกำหนดเวลาให้อีกชั้นหนึ่ง ซึ่งเป็นเหตุของความล่าช้าในวงการศาล
ทรงปรับปรุงเงินเดือนผู้พิพากษาให้เหมาะสมกับตำแหน่งหน้าที่
ออกประกาศ ออกประกาศยกเลิก หรือแก้ไขพระราชบัญญัติ กฎเสนาบดีกว่า 60 ฉบับ เพื่อแก้ไขจุดที่บกพร่อง เพิ่มสิทธิของคู่ความให้เท่าเทียมกัน หรือแก้ไขบทลงโทษที่ล้าหลัง
หมายเหตุ
ที่มาข้อมูล วิกิพีเดีย
http://th.wikipedia.org/wiki/รพี
วันอาทิตย์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2557
กรณีมีผู้ลักบัตรเครดิตไปใช้ซื้อสินค้า ใครต้องรับผิดชอบ
วันนี้ขอเสนออุทาหรณ์ กรณีบัตรเครดิตหายไปแล้วมีคนนำไปใช้ ใครคือผู้ต้องรับผิดชอบครับ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1989/2552
ข้อตกลงการใช้บัตรวีซ่า ข้อ 8 ที่กำหนดให้จำเลยต้องรับผิดต่อโ จทก์ในกรณีที่บัตรเครดิตสูญหาย ถูกลักขโมย หรือถูกใช้โดยบุคลอื่นโดยมิได้ร ับอนุญาตจากผู้ถือบัตร (จำเลย) ที่ได้แจ้งข้อเท็จจริงดังกล่าวใ ห้ศูนย์บัตรเครดิตของธนาคาร (โจทก์) ทราบแล้วโดยพลัน เพื่อให้ระงับการใช้บัตรเครดิต ในภาระหนี้สินที่เกิดขึ้นก่อนมี การแจ้งดังกล่าวในจำนวนเงินที่เกิดจา กการใช้บัตรเครดิตของผู้ถือบัตร ซึ่งถูกนำไปใช้โดยมิชอบ รวมถึงภาระหนี้สินที่เกิดขึ้นหล ังจากแจ้งให้ธนาคารทราบแล้วไม่เ กิน 5 นาที นอกจากจะขัดแย้งกับข้อตกลงการใช ้บัตรวีซ่า ข้อ 6 วรรคสอง แล้ว ยังถือเป็นข้อสัญญาที่ทำให้จำเล ยต้องรับภาระในหนี้ที่เกิดจากกา รใช้บัตรเครดิตที่จำเลยไม่ได้ก่ อขึ้น และไม่ได้อยู่ในความรับผิดชอบขอ งจำเลย ทั้งโจทก์ยังมีทางแก้ไขความเสีย หายของโจทก์ได้ โดยหากโจทก์ตรวจสอบแล้วปรากฎว่า ลายมือชื่อผู้ใช้บัตรเครดิตในเซ ลสลิปไม่ตรงกับลายมือชื่อของจำเ ลยผู้ถือบัตร โจทก์สามารถเรียกเงินที่ได้จ่าย ไปคืนจากร้านค้าได้ ฉะนั้น เมื่อโจทก์ได้รับแจ้งจากจำเลยว่ าบัตรเครดิตได้สูญหายไปเพื่อขอใ ห้โจทก์ระงับการใช้บัตรเครดิต โจทก์จะต้องรีบดำเนินการให้จำเล ยโดยเร็ว ก็จะทราบได้ทันทีว่าลายมือชื่อผ ู้ใช้บัตรเครดิตในเซลสลิปไม่ตรง กับลายมือชื่อของจำเลย แสดงว่าร้านค้าไม่ได้ใช้ความระม ัดระวังตรวจสอบลายมือชื่อในเซลส ลิป ย่อมทำให้โจทก์มีสิทธิที่จะเรีย กเงินที่ชำระไปแล้วคืนจากร้านเจ มาร์ทแทนการมาเรียกเก็บจากจำเลย ได้ ซึ่งเป็นธรรมกับทุกฝ่าย แต่โจทก์มิได้ทำเช่นนั้น โดยเห็นว่ามีข้อตกลงการใช้บัตรว ีซ่า ข้อ 8 ที่ให้จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์อ ยู่แล้ว ถือเป็นการเอาเปรียบจำเลยเกินสม ควรและเป็นการผลักภาระให้จำเลยต ้องรับผิดเกินกว่าวิญญูชนทั่วไป จะคาดหมายได้ตามปกติ อันเข้าลักษณะข้อสัญญาที่ไม่เป็ นธรรม ข้อตกลงการใช้บัตรวีซ่า ข้อ 8 จึงไม่มีผลใช้บังคับ จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชำระหนี้ใ ห้โจทก์
คดีนี้ธนาคารได้เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องจำเลยซึ่งเป็นสมาชิกผู้ ถือ
บัตรวีซ่า โดยอ้างสัญญาการใช้บัตรที่ว่า "ผู้ถือบัตรต้องรับผิดชอบแม้
บัตรเครดิตสูญหาย ถูกลักขโมย หรือถูกใช้โดยบุคลอื่นโดยมิได้ร ับอนุญาตจากผู้ถือบัตร ก็ตาม"
แต่ผู้ถือบัตรในคดีนี้ได้รีบแจ้ งอายัดบัตรแล้วโดยทันที มีผลทำให้ ธนาคารเกิดภาระหน้าที่ต้องเร่งต รวจสอบความถูกต้องของรายการใช้บ ัตรเครดิตนั้น และศาลฎีกายังได้อธิบายถึงหนทางเยีย วยาแก้ไขความเสียหายของธนาคารไว ้ด้วยว่า เมื่อตรวจสอบเอกสารแล้วลายมือชื ่อที่เซ็นไว้กับบัตรไม่ตรงกัน ธนาคารย่อมเรียกร้องเอาเงินที่ท ดรองจ่ายไปก่อนนั้นคืนจากร้านค้ าได้ การที่มาฟ้องผู้ถือบัตรตามข้อสั ญญาว่าต้องรับผิดนั้นไม่ถูกต้อง และยังได้ชี้ว่าข้อสัญญาดังกล่าว นั้นเป็นข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็ นธรรม พ.ศ.2540 มาตรา 4 อีกด้วย
หวังกรณีอุทาหรณ์คดีนี้จะเป็นปร ะโยชน์แก่ท่านผู้อ่าน ส่วนเหตุที่ธนาคารสามารถเรียกร้อ งเอาเงินคืนจากร้านค้าได้ด้วยเห ตุผลและหลักกฎหมายใดนั้นติดตามต่อครั้งหน้า ครับ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1989/2552
ข้อตกลงการใช้บัตรวีซ่า ข้อ 8 ที่กำหนดให้จำเลยต้องรับผิดต่อโ
คดีนี้ธนาคารได้เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องจำเลยซึ่งเป็นสมาชิกผู้
แต่ผู้ถือบัตรในคดีนี้ได้รีบแจ้
หวังกรณีอุทาหรณ์คดีนี้จะเป็นปร
วันพฤหัสบดีที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2557
หลอกขายของแต่ไม่ถึงกับเป็นความผิดฐานฉ้อโกง “รอดไปเลย” จริงหรือ ?
แต่ก็พบว่าในการดำเนินคดีกับผู้หลอกลวง บางครั้งก็มีกรณี พนักงานสอบสวนมีความเห็นไม่สั่งฟ้องหรือพนักงานอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องคดี ตลอดจนแม้มีการฟ้องคดีแล้วแต่ศาลได้พิจารณาพิพากษาว่าไม่เป็นการฉ้อโกงเพราะ ข้อเท็จจริงในการนำสืบยังไม่ครบองค์ประกอบของความผิด ดังนี้ คนส่วนใหญ่จึงไม่อยากที่จะรักษาสิทธิของตนโดยคิดไปว่าเป็นการเสียเวลา ยังไงก็เอาผิดไม่ได้ ซึ่งน่าเห็นใจจริงๆครับ แต่ท่านก็อย่าเพิ่งหมดกำลังใจไป เหตุที่พนักงานสอบสวนมีความเห็นไม่สั่งฟ้องหรือพนักงานอัยการมีคำสั่งไม่ ฟ้องคดี ตลอดจนในกรณีที่ศาลมีคำพิพากษายกฟ้องก็เพราะมีความเห็นทางกฎหมายว่าสิ่งที่ ทำนั้นไม่ถึงกับเป็นความผิดฐานฉ้อโกง ทีนี้ ถ้าถูกหลอกแต่ไม่เป็นฉ้อโกงจะเอาผิดได้อีกหรือไม่มาดูกันครับ
ที่จริงการขายสินค้านั้น การโฆษณา หรือ การพรรณนาสรรพคุณ และการบอกถึงแหล่งที่มาของสินค้า เป็นเรื่องสำคัญที่ผู้ขายต้องระวังให้จงหนัก ไม่ใช่เพียงกล่าวให้สวยหรูเพื่อการขายเพียงอย่างเดียวเป็นพอใจ ในวันนี้ผมจึงขอยกข้อกฎหมายเรื่อง "หลอกขาย" สินค้า ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๑ มาเล่าสู่กันฟังครับ
การหลอกขาย ความหมายก็ตรงตัว คือตั้งใจหลอกผู้ซื้อ ในเรื่องที่มาของสินค้า สภาพ คุณภาพหรือปริมาณ เช่น ผู้ขายอ้างว่าสินค้านี้ เป็นของแท้จากญี่ปุ่น ทั้งๆที่จริงเป็นของแท้แต่ผลิตในประเทศไทย (เป็นของผลิตในไทยราคาถูกกว่า) หรือ รถมือสอง ผู้ขายบอกว่าเป็นรถบ้านสภาพดีใช้น้อยสวยทั้งคัน แต่ที่จริงมีการเปลี่ยนอะไหล่ (ยำอะไหล่) ไปแล้ว ผู้ซื้อนำมาใช้ได้ไม่นานก็ต้องมีการซ่อมใหญ่ เหล่านี้เป็นต้น ซึ่งการกระทำดังกล่าวเป็นการขายของโดย “หลอกลวง” ด้วยประการใด ๆ ให้ผู้ซื้อหลงเชื่อในแหล่งกำเนิด สภาพ คุณภาพหรือปริมาณแห่งของนั้นอัน “เป็นเท็จ” โดยการกระทำนั้นไม่ถึงกับเป็นความผิดฐานฉ้อโกง แต่ก็เป็นความผิดทางอาญา ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
เห็นหรือไม่ครับ แม้ไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกงแต่ก็ยังมีความผิดฐานหลอกขายอยู่ ซึ่งผู้ซื้อก็ควรรู้ผู้ขายก็ควรระวัง หากมีข้อสงสัยสอบถามเพิ่มเติมได้ครับ
วันอาทิตย์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2557
ใครเคยเป็นหุ้นส่วนสามัญบ้างยกมือขึ้น
วันนี้มาพูดกันถึงประเด็นใกล้ตัวเราอีกเรื่องหนึ่งครับ
ไม่ทราบว่าท่านใดเคยร่วมกันทำการค้าบ้างครับ ไม่ว่ากับเพื่อน กับคนรัก
ขายของเล็กๆน้อยๆ
ตลอดจนการเข้าหุ้นกันทำกิจการอย่างจริงจังเป็นหลักเป็นฐานแต่ไม่ได้ดำเนินการจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล อย่างบริษัท หรือห้างหุ้นส่วนจำกัด ฯ
การที่ได้เข้าหุ้นกันทำกิจการโดยมีจุดประสงค์เพื่อแสวงหากำไรมาแบ่งกัน
ไม่ว่าจะแบ่งกันแบบตามส่วนเท่าๆกันหรือตามแต่ที่จะได้ตกลงกันไว้ เช่นนี้
ในทางกฎหมายถือว่าท่านได้ก่อตั้งห้างหุ้นส่วนขึ้นมาแล้ว
โดยไม่จำเป็นที่จะต้องจดทะเบียนหรือมีสำนักงานหน้าร้านแต่อย่างใด
ซึ่งมีคำเรียกว่า “ห้างหุ้นส่วนสามัญ” ซึ่งมีสถานะทางกฎหมาย
เมื่อเป็นการก่อตั้งห้างหุ้นส่วนสามัญขึ้นมาแล้ว กฎหมายได้กำหนดหน้าที่ ความรับผิด ทั้งระหว่างหุ้นส่วนด้วยกันเอง และที่ต้องมีต่อบุคคลภายนอกเอาไว้แล้วในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งในวันนี้ผมขอหยิบยกเอาหลักในเรื่องความรับผิดต่อเจ้าหนี้ของห้างหุ่น ส่วนสามัญมาเล่าสู่กันฟังพอเป็นสังเขป
เมื่อทำการค้าก็ย่อมเป็นธรรมดาที่จะต้องมีการลงทุนและบ่อยครั้งจะต้องมีการ กู้ยืมหรือเปิดเครดิตสินค้า ไม่ว่าจะกู้เงินสดมาใช้ หรือ ซื้อเชื่อสินค้ามาขายก่อน หากของขายง่ายหมดเร็วได้กำไรก็ไม่น่าจะมีปัญหาแบ่งกำไรกันไปไม่ว่าจะแบ่งกัน แบบตามส่วนเท่าๆกันหรือตามแต่ที่จะได้ตกลงกันไว้อย่างมีความสุข แต่หากสินค้าขายไม่ออก ขาดทุน ปัญหาก็เกิด ทีนี้ จะแบ่งกันชำระหนี้เหมือนกับการแบ่งกำไรได้หรือไม่ คำตอบคือ ถ้าจ่ายหนี้เต็มจำนวนเจ้าหนี้ก็ไม่สนหลอกครับว่าเงินจะมาจากใครเท่าไหร่บ้าง แต่ถ้าไม่ยอมจ่ายจนต้องถูกฟ้องบังคับให้ชำระหนี้ กฎหมายกำหนดให้ผู้เป็นหุ้นส่วนทุกคนต้องร่วมกันรับผิดชอบให้หนี้สินของห้าง หุ้นส่วนอย่างไม่จำกัดจำนวน
พูดง่ายๆเจ้าหนี้ไล่เบี้ยได้กับทุกคนโดยไม่สนจำนวนหุ้นของหุ้นส่วนแต่ละคน ว่าใครจะมากใครจะน้อย ไม่เหมือนกับตอนแบ่งกำไรกันเลย แต่ก็เป็นความรับผิดของหุ้นส่วนตามที่กฎหมายได้กำหนดไว้ครับ
เมื่อเป็นการก่อตั้งห้างหุ้นส่วนสามัญขึ้นมาแล้ว กฎหมายได้กำหนดหน้าที่ ความรับผิด ทั้งระหว่างหุ้นส่วนด้วยกันเอง และที่ต้องมีต่อบุคคลภายนอกเอาไว้แล้วในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งในวันนี้ผมขอหยิบยกเอาหลักในเรื่องความรับผิดต่อเจ้าหนี้ของห้างหุ่น ส่วนสามัญมาเล่าสู่กันฟังพอเป็นสังเขป
เมื่อทำการค้าก็ย่อมเป็นธรรมดาที่จะต้องมีการลงทุนและบ่อยครั้งจะต้องมีการ กู้ยืมหรือเปิดเครดิตสินค้า ไม่ว่าจะกู้เงินสดมาใช้ หรือ ซื้อเชื่อสินค้ามาขายก่อน หากของขายง่ายหมดเร็วได้กำไรก็ไม่น่าจะมีปัญหาแบ่งกำไรกันไปไม่ว่าจะแบ่งกัน แบบตามส่วนเท่าๆกันหรือตามแต่ที่จะได้ตกลงกันไว้อย่างมีความสุข แต่หากสินค้าขายไม่ออก ขาดทุน ปัญหาก็เกิด ทีนี้ จะแบ่งกันชำระหนี้เหมือนกับการแบ่งกำไรได้หรือไม่ คำตอบคือ ถ้าจ่ายหนี้เต็มจำนวนเจ้าหนี้ก็ไม่สนหลอกครับว่าเงินจะมาจากใครเท่าไหร่บ้าง แต่ถ้าไม่ยอมจ่ายจนต้องถูกฟ้องบังคับให้ชำระหนี้ กฎหมายกำหนดให้ผู้เป็นหุ้นส่วนทุกคนต้องร่วมกันรับผิดชอบให้หนี้สินของห้าง หุ้นส่วนอย่างไม่จำกัดจำนวน
พูดง่ายๆเจ้าหนี้ไล่เบี้ยได้กับทุกคนโดยไม่สนจำนวนหุ้นของหุ้นส่วนแต่ละคน ว่าใครจะมากใครจะน้อย ไม่เหมือนกับตอนแบ่งกำไรกันเลย แต่ก็เป็นความรับผิดของหุ้นส่วนตามที่กฎหมายได้กำหนดไว้ครับ
วันศุกร์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2557
ถูกโพสต์ภาพตัดต่อ ใช้สิทธิ์อะไรได้บ้าง
นับวันเทคโนโลยียิ่งก้าวหน้า การใช้เทคโนโลยีในทางที่ผิด
ก็มีปรากฏให้เห็นมากขึ้นทุกวัน แอพพลิเคชั่นต่างๆก็ออกแบบมามากมาย
ดาวน์โหลดและใช้งานได้ง่ายจนเด็กเล็กๆก็สามารถใช้งานได้
และคนเราบ่อยครั้งที่เมื่อยามดีก็ดีกันสุดๆ พอผิดใจกันอะไรๆก็เกิดขึ้นได้
มีผู้สอบถามมาว่าถูกโพสต์ภาพที่มีการตัดต่อลงในระบบออนไลน์เป็นเหตุให้ได้รับความเสียหาย จะทำยังไงได้บ้าง
แน่นอนครับเมื่อมีการทำให้เกิดความเสียแก่เรา ในทางแพ่งย่อมเป็นละเมิดแม้ไม่มีเจตนาก็ตาม แต่ก็ยังต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ได้ทำไปซึ่งเป็นการละเมิดอยู่นั่นเอง การใช้สิทธิ์เรียกร้องค่าเสียหายทางแพ่งก็คำนึงถึงความเสียหายที่ผู้เสียหาย ได้รับ หากเป็นนักแสดงหรือบุคคลซึ่งมีชื่อเสียงแล้วค่าเสียหายย่อมเรียกได้สูงเป็น เงาตามตัว(สมเหตุสมผล)
แต่การกระทำดังกล่าวจะไม่เป็นเพียงการละเมิดเท่านั้น หากการกระทำนั้นเป็นการโพสต์ภาพที่ตัดต่อเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ที่ประชาชน ทั่วไปอาจเข้าถึงได้ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่ปรากฏเป็นภาพของผู้อื่น และภาพนั้นเป็นภาพที่เกิดจากการสร้างขึ้น ตัดต่อ เติม หรือดัดแปลงด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์หรือวิธีการอื่นใด ทั้งนี้ โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง หรือได้รับความอับอาย ก็จะเป็นความผิดที่มีโทษทางอาญา ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ แต่การกระทำดังกล่าวจะไม่มีความผิด หากเป็นการกระทำโดยสุจริตและความผิดนี้เป็นความผิดอันยอมความได้ (พรบ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๑๖) ผู้เสียหายจึงสามรถแจ้งความดำเนินคดีอาญาได้ภายในอายุความ
การตัดต่อภาพไม่จำเป็นจะต้องตัดต่อเฉพาะแต่ใบหน้าหรือส่วนของร่างกายอย่าง ที่เห็นกันบ่อยๆถึงจะเป็นความผิดนะครับ ไม่ว่าจะตัดต่อสถานที่ ตัดต่อบุคคลรอบข้าง ตัดต่อข้อความที่ปรากฎในภาพ สรุปคือ การตัดต่อแล้วนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ที่ประชาชน "อาจ" เข้าถึงได้ และ "น่าจะ" ทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง หรือได้รับความอับอาย ก็เป็นความผิดแล้วครับ
มีผู้สอบถามมาว่าถูกโพสต์ภาพที่มีการตัดต่อลงในระบบออนไลน์เป็นเหตุให้ได้รับความเสียหาย จะทำยังไงได้บ้าง
แน่นอนครับเมื่อมีการทำให้เกิดความเสียแก่เรา ในทางแพ่งย่อมเป็นละเมิดแม้ไม่มีเจตนาก็ตาม แต่ก็ยังต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ได้ทำไปซึ่งเป็นการละเมิดอยู่นั่นเอง การใช้สิทธิ์เรียกร้องค่าเสียหายทางแพ่งก็คำนึงถึงความเสียหายที่ผู้เสียหาย ได้รับ หากเป็นนักแสดงหรือบุคคลซึ่งมีชื่อเสียงแล้วค่าเสียหายย่อมเรียกได้สูงเป็น เงาตามตัว(สมเหตุสมผล)
แต่การกระทำดังกล่าวจะไม่เป็นเพียงการละเมิดเท่านั้น หากการกระทำนั้นเป็นการโพสต์ภาพที่ตัดต่อเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ที่ประชาชน ทั่วไปอาจเข้าถึงได้ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่ปรากฏเป็นภาพของผู้อื่น และภาพนั้นเป็นภาพที่เกิดจากการสร้างขึ้น ตัดต่อ เติม หรือดัดแปลงด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์หรือวิธีการอื่นใด ทั้งนี้ โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง หรือได้รับความอับอาย ก็จะเป็นความผิดที่มีโทษทางอาญา ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ แต่การกระทำดังกล่าวจะไม่มีความผิด หากเป็นการกระทำโดยสุจริตและความผิดนี้เป็นความผิดอันยอมความได้ (พรบ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๑๖) ผู้เสียหายจึงสามรถแจ้งความดำเนินคดีอาญาได้ภายในอายุความ
การตัดต่อภาพไม่จำเป็นจะต้องตัดต่อเฉพาะแต่ใบหน้าหรือส่วนของร่างกายอย่าง ที่เห็นกันบ่อยๆถึงจะเป็นความผิดนะครับ ไม่ว่าจะตัดต่อสถานที่ ตัดต่อบุคคลรอบข้าง ตัดต่อข้อความที่ปรากฎในภาพ สรุปคือ การตัดต่อแล้วนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ที่ประชาชน "อาจ" เข้าถึงได้ และ "น่าจะ" ทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง หรือได้รับความอับอาย ก็เป็นความผิดแล้วครับ
วันอังคารที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2557
ประนีประนอมโดยไม่เรียกผู้ค้ำประกันมาร่วมด้วย เจ้าหนี้ใช้สิทธิเรียกร้องกับผู้ค้ำประกันไม่ได้
การทำสัญญาประนีประนอมยอมความคื อการผ่อนปรนสิทธิที่มีต่อกันอยู ่เดิม แล้วมายึดถือสิทธิตามสัญญาประนี ประนอมยอมความที่ทำขึ้นใหม่แทน และด้วยการสละสิทธิที่มีอยู่เดิ มนี้ข้อเรียกร้องต่างๆที่มีอยู่ เดิมนั้นจึงสิ้นผลตามไป ซึ่งรวมถึงสัญญาค้ำประกันด้วย ดังนั้น หากในสัญญาเดิมมีผู้ค้ำประกันแต ่เจ้าหนี้ไม่เรียกให้ผู้ค้ำประก ันเข้ามาทำสัญญาประนีประนอมยอมค วามด้วยแล้ว สัญญาประนีประนอมนั้นจึงไม่ผูกพ ันผู้ค้ำประกัน
เรื่องนี้เป็นกรณีสำคัญที่เจ้าหนี้ต้องพึงระมัดระวัง มิเช่นนั้นหลักประกันที่เจ้าหนี้เคยยึดถือไว้จะไม่อาจใช้สิทธิ์บังคับเอากับผู้ค้ำประกันได้ครับ
เรื่องนี้เป็นกรณีสำคัญที่เจ้าหนี้ต้องพึงระมัดระวัง มิเช่นนั้นหลักประกันที่เจ้าหนี้เคยยึดถือไว้จะไม่อาจใช้สิทธิ์บังคับเอากับผู้ค้ำประกันได้ครับ
วันเสาร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2557
ลายน้ำบนภาพ และ การแชร์ภาพบนโซเชียลมีเดียกับประเด็นการละเมิดลิขสิทธิ์ภาพ
เริ่มแรกที่ผมได้รับคำถามมา เกี่ยวกับลิขสิทธิ์ในภาพถ่า ยซึ่งได้มีการนำขึ้นโพสต์กั นในสื่อโซเชียลมีเดียต่างๆอ ย่างเปิดเผย ผมเลยตั้งใจว่าจะพูดในเรื่อ งลิขสิทธิ์ภาพแบบครอบคลุมตั ้งแต่เริ่มต้นจนจบ แต่เนื่องจากยิ่งเขียนยิ่งย าวเกรงจะไม่อ่านกัน ในครั้งนี้จึงขอพูดถึงเพียง ประเด็นที่ถามมาเท่านั้นแล้ วในครั้งต่อๆไปจะนำในส่วนอื ่นมาเพิ่มเติมให้ครับ
คำถามมีว่า จำเป็นหรือไม่ที่จะต้องลงลา
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผู้ถ

ทีนี้มาถึงเรื่องการแชร์ภาพ เนื่องจากหลายโซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะ Facebook มีคำสั่ง “แชร์” ซึ่งสามารถส่งต่อภาพของเราโดยผู้ใช้งาน Facebook คนอื่นได้ การแชร์ไปยังหน้าเพจต่างๆนั้นเป็นการเผยแพร่ตามกฎหมาย จะมีความผิดหรือไม่ ผมเห็นว่าไม่ผิด เพราะเป็นการให้อนุญาตไว้ล่วงหน้า หรือ โดยปริยายแล้ว อีกทั้ง การแชร์ คือส่วนสำคัญของ โซเชียลมีเดียสังคมที่เน้นการแบ่งปันข้อมูลข่าวสารต่างๆ และเจ้าของภาพยังต้องยอมรับเงื่อนไขของการแบ่งปันข้อมูลนี้ก่อนที่จะลงทะเบียนเข้าใช้ระบบครั้งแรกและยังมีที่ปรับปรุงขึ้นมาใหม่เป็นระยะๆด้วย อีกทั้งการแชร์ไปนั้นระบบจะระบุที่มาของภาพว่ามาจาก Facebook ของใคร ไม่ทำให้ผู้อื่นเข้าใจว่าผู้แชร์เป็นเจ้าของภาพ แต่ถ้ามีการทำซ้ำภาพ และหรือ แก้ไขภาพทั้งหมดหรือแต่งส่วนหนึ่งส่วนใด แล้วนำไปโพสต์อ้างว่าเป็นภาพของตน หรือนำไปเผยแพร่โดยเจตนาให้ผู้อื่นเข้าใจว่าเป็นผลงานของตน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทางการค้า หรือการสนับสนุนการค้าหรือหากำไร เช่นนี้ เป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ชัดเจน มีความผิดตามกฎหมายและ เรียกค่าเสียหายได้ครับ แต่ถึงแม้จะมีการยินยอมอยู่ในระดับหนึ่งแล้วก็ตาม การที่จะนำภาพของผู้อื่นไปใช้หรือเผยแพร่ต่อก็ควรแจ้งให้เจ้าของภาพได้ทราบ หรือให้เครดิตเจ้าของภาพไว้ด้วย จะได้ไม่ต้องมีปัญหากันภายหลังครับ
วันพฤหัสบดีที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2557
ผู้เสียหายในคดีอาญากับมาตรา 44/1
หลายท่านคงเคยได้ยินได้ฟังมาบ้า งเกี่ยวกับเรื่องของประมวลวิ ธีพิจารณาความอาญา มาตรา44/ 1 ว่าคือการที่ผู้เสียหายในคดีอาญาใช้ สิทธิ์ยื่นคำร้องขอต่อศาลชั้นต้ นที่พิจารณาคดีอาญานั้น เพื่อเรียกร้องค่าเสียหาย อันเป็นสินไหมทดแทนจากจำเลยในคด ี เพราะเหตุที่ได้กระทำความผิดขึ้ นทำให้ผู้เสียหายได้รับความเสีย หายต่างๆตามที่กฎหมายได้กำหนดไว ้ ซึ่งกรณีประมวลวิ ธีพิจารณาความอาญา มาตรา 44/ 1 นี้ เป็นการใช้สิทธิเรียกค่าเสียหายทางหนึ่งโด ยไม่ต้องนำเรื่องไปฟ้องจำเลยเป็ นคดีแพ่งขึ้นต่างหากอีก เมื่อยื่นคำร้องแล้วศาลที่พิจาร ณาคดีอาญาก็จะมีอำนาจพิจารณาควา มเสียหายในส่วนแพ่งให้แก่ผู้เสี ยหายได้ในคราวเดียวกันไปและสามา รถมีคำพิพากษาในส่วนแพ่งนี้ไปพร ้อมกันกับคดีอาญาได้ แต่ต้องไม่ใช่กรณีที่พนักงานอัย การได้ใช้สิทธิเรียกทรัพย์สินหร ือราคาแทนผู้เสียหาย ตามประมวลวิ ธีพิจารณาความอาญา มาตรา 43 ไว้แล้ว ซึ่งผู้เสียหายจะยื่นคำร้องเรียกเอา ทรัพย์สินหรือราคาทรัพย์สินอีกไ ม่ได้
โดยผู้เสียหายจะต้องยื่นคำร้องข
เมื่อศาลรับคำร้องของผู้เสียหาย
วันอังคารที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2557
ซื้อขายสินค้า "บนอินเตอร์เน็ต" ถูกโกง ฟ้องได้หรือไม่
เป็นอีกหนึ่งคำถามที่มีผู้สอบถามเข้ามาครับ ว่าตนได้สั่งซื้อสินค้าจากผู้ขายซึ่งได้ประกาศขายสินค้าอยู่ในบอร์ดซื้อขาย สินค้าของเว็บไซต์แห่งหนึ่ง โดยผู้ซื้อได้ชำระเงินผ่านบัญชีธนาคารให้แก่ผู้ประกาศขายสินค้าดังกล่าวตาม ที่ได้ตกลงกันไว้แล้ว แต่ผู้ประกาศขายสินค้ากลับไม่ส่งสินค้ามาให้ ผู้ซื้อได้ติดตามสอบถามทางโทรศัพท์ และได้ตั้งกระทู้ในห้องไกล่เกลี่ยข้อพิพาทของเว็บไว้ซต์ข้างต้นหลายวันแล้ว ก็ไม่มีความคืบหน้า ผู้ประกาศขายอ้างต่างๆนาๆและสรุปว่าให้ยกเลิกการซื้อขายและขอให้คืนเงินที่ รับไปเต็มจำนวน แต่เวลาได้ล่วงเลยมานานผู้ซื้อก็ไม่ได้รับเงินคืนกลับมาเสียที เช่นนี้จะฟ้องได้หรือไม่
เรื่องการซื้อขายสินค้ากันบนบอร์ดซื้อขายสินค้าออนไลน์นั้นไม่ต่างกับการ ซื้อขายสินค้ากับแบบปกติกครับ กฎหมายที่ใช้ก็บทเดียวกัน แต่จะมีข้อกฎหมายเพิ่มเติมขึ้นมาอีก เช่น พระราชบัญญัติว่าด้วยธุรกรรมทางอิเลกทรอนิกส์ พ.ศ.2544 ซึ่งจะกำหนดให้การซื้อขายตลอดจนข้อตกลงที่ทำขึ้นในรูปแบบอิเลกทรอนิกส์นั้น เสมือนเป็นข้อมูลในรูปแบบเอกสาร กำหนดเรื่องวิธีการรับฟังพยานหลักฐานที่อยู่ในรูปแบบอิเลกทรอนิกส์เพื่อเป็น หลักฐานที่สามารถอ้างในการดำเนินคดีได้ และกำหนดวิธีการรับรองการรับส่งข้อมูลทางอิเลกทรอนิกส์ การลงชื่อเข้าระบบด้วยชื่อผู้ใช้และรหัสผ่านเป็นดั่งเสมือนลายมือชื่อของคน ปกติ ทั้งนี้ เพื่อใช้เป็นการยืนยันตัวบุคคลที่ทำธุรกรรมทางอิเลกทรอนิกส์นั้นได้ ดังนี้ การทำธุรกรรมทางอิเลกทรอนิกส์เมื่อมีข้อโต้แย้งกันเกิดขึ้นจึงสามารถฟ้อง ร้องดำเนินคดีกันได้ครับ
แต่ก่อนจะทำการซื้อขายสินค้ากันจึงควรทำการตรวจสอบข้อมูลของคู่สัญญาตลอดจน สินค้าให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และท่านอาจใช้บริการคนกลางการซื้อขายสินค้าเพื่มเติมขึ้นอีกชั้นหนึ่งด้วยก็ ได้ เพื่อที่จะลดโอกาสที่จะต้องมาดำเนินคดีกันในภายหลังครับ
วันอาทิตย์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2557
บนโลกอินเตอร์เน็ตแม้เจตนาดีก็ต้องมีขอบเขตนะครับ
จากครั้งก่อนที่ผมได้กล่าวถึงการโพสต์ข้อความบทอินเตอร์เน็ต ในหัวข้อ
“นั่งโพสต์อยู่ดีๆอาจมีหมายศาลมาถึงได้”
โดยเตือนให้พึงระวังถึงข้อกฎหมายเรื่องหมิ่นประมาทไว้ด้วยก่อนที่จะลงมือ
โพสต์หรือแชร์สิ่งใดต่อๆกันไปอีก รายละเอียดตามลิ้งค์http://nitilawlegaladvisors.blogspot.com/2013/08/blog-post_23.html ซึ่งก็ได้มีข้อสอบถามเข้ามาพอสมควรไม่ว่าจะโพสต์ลง เฟสต์บุ๊ค หรือ
เว็ปเพจ ต่างๆ
โดยได้รับการสอบถามและมีการขยายความถึงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นจากหลายๆท่าน
ต่อเนื่องมาตลอด คำถามที่ได้รับมาสรุปความได้ คือ
สิ่งที่โพสต์หรือแชร์ไปนั้น จะผิดฐานหมิ่นประมาทหรือไม่
เอาเป็นว่าวันนี้มาลองยกตัวอย่างเพิ่มเติมกันอีกสักเรื่องซึ่งพบเห็นอยู่
บ่อยครั้งบนหน้าฟีดข่าวบนเฟสต์บุ๊ค
ประเด็นวันนี้คือ การแชร์ข้อความเตือนภัยต่างๆที่เกิดจากการกระทำของบุคคล ว่ามีพฤติการณ์ที่ไม่ดี เป็นอันตราย โดย ลงรูปภาพบุคคล หรือรายละเอียดของบุคคลนั้นประกอบด้วย ตัวอย่างเช่น มีโพสต์อ้างว่าเตือนภัยคนในภาพไปกระทำการลักทรัพย์ของบุคคลอื่นมา ไปทำร้ายคนอื่นมา เป็นต้น ซึ่งเป็นเรื่องส่วนตัว โดยอาจจะมีรายละเอียด ชื่อ-สกุล ที่อยู่ หรือไม่ก็ตาม ที่แน่ๆบุคคลในภาพนั้นก็ได้รับความเสียหายเสียแล้วทั้งๆที่ เราก็ไม่รู้หลอกว่าความจริงแล้วคนในภาพจะกระทำสิ่งที่ปรากฏตามข้อความนั้น จริงหรือไม่ แต้ด้วยความจิตใจดีของคนไทยเรา มีความเป็นห่วงเป็นใยผู้อื่นเสมอ ด้วยเจตนาดีเลยกดแชร์โพสต์ดังกล่าวต่อเนื่องกันไป (บางครั้งก็มีมือบอนร่วมด้วย) ยิ่งทำให้บุคคลในภาพได้รับความเสียหายเป็นวงกว้างยิ่งขึ้น ทั้งๆขณะที่กดแชร์ไปนั้นท่านก็ยังไม่รู้เลยว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่
บางท่านอ่านมาถึงตรงนี้อาจนึกแย้งว่าถ้าเป็นจริงหละ สิ่งที่โพสต์เป็นเรื่องจริงหละ? จะไม่เป็นการดีกว่าหรือถ้ามีการแจ้งเตือนกันไว้ก่อน ประเด็นนี้พูดกันมาเยอะ สู้คดีกันมาก็มาก(หากโพสต์นั้นไม่ใช่เรื่องส่วนตัวก็สามารถนำสืบต่อสู้คดี ได้ แต่ถ้าเป็นเรื่องส่วนตัวกฎหมายห้ามนำสืบต่อสู้คดีในข้อเท็จจริงนี้เลย) กฎหมายไม่ประสงค์ให้ใช้วิธีการตาต่อตาฟันต่อฟันเพื่อแก้แค้นเอาคืนกัน กฎหมายจึงกำหนดให้ไปดำเนินคดีเอาผิดและลงโทษ ตามกติกาของสังคมซึ่งมีวิธีการและบทลงโทษอยู่แล้ว ทั้งนี้เพื่อไม่ให้สังคมต้องยุ่งเหยิง เมื่อเกิดเรื่องขึ้นจริงต้องไปแจ้งความดำเนินคดีจะเป็นทางออกที่ดีกว่า
การแชร์โพสต์ต่อๆกันไปก็เท่ากับว่าท่านได้ทำการเผยแพร่ข้อความอันทำให้ผู้ อื่นได้รับความเสียหาย อาจเป็นความผิดทางอาญาฐานหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา ตลอดจนเป็นการละเมิดทางแพ่งซึ่งท่านอาจถูกเรียกค่าเสียหายได้ ทั้งๆที่ไม่ใช่เรื่องที่ท่านมีส่วนได้เสียเกี่ยวข้องด้วยเลย
เตือนใจสักนิดก่อนคิดแชร์สิ่งใดครับ
ประเด็นวันนี้คือ การแชร์ข้อความเตือนภัยต่างๆที่เกิดจากการกระทำของบุคคล ว่ามีพฤติการณ์ที่ไม่ดี เป็นอันตราย โดย ลงรูปภาพบุคคล หรือรายละเอียดของบุคคลนั้นประกอบด้วย ตัวอย่างเช่น มีโพสต์อ้างว่าเตือนภัยคนในภาพไปกระทำการลักทรัพย์ของบุคคลอื่นมา ไปทำร้ายคนอื่นมา เป็นต้น ซึ่งเป็นเรื่องส่วนตัว โดยอาจจะมีรายละเอียด ชื่อ-สกุล ที่อยู่ หรือไม่ก็ตาม ที่แน่ๆบุคคลในภาพนั้นก็ได้รับความเสียหายเสียแล้วทั้งๆที่ เราก็ไม่รู้หลอกว่าความจริงแล้วคนในภาพจะกระทำสิ่งที่ปรากฏตามข้อความนั้น จริงหรือไม่ แต้ด้วยความจิตใจดีของคนไทยเรา มีความเป็นห่วงเป็นใยผู้อื่นเสมอ ด้วยเจตนาดีเลยกดแชร์โพสต์ดังกล่าวต่อเนื่องกันไป (บางครั้งก็มีมือบอนร่วมด้วย) ยิ่งทำให้บุคคลในภาพได้รับความเสียหายเป็นวงกว้างยิ่งขึ้น ทั้งๆขณะที่กดแชร์ไปนั้นท่านก็ยังไม่รู้เลยว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่
บางท่านอ่านมาถึงตรงนี้อาจนึกแย้งว่าถ้าเป็นจริงหละ สิ่งที่โพสต์เป็นเรื่องจริงหละ? จะไม่เป็นการดีกว่าหรือถ้ามีการแจ้งเตือนกันไว้ก่อน ประเด็นนี้พูดกันมาเยอะ สู้คดีกันมาก็มาก(หากโพสต์นั้นไม่ใช่เรื่องส่วนตัวก็สามารถนำสืบต่อสู้คดี ได้ แต่ถ้าเป็นเรื่องส่วนตัวกฎหมายห้ามนำสืบต่อสู้คดีในข้อเท็จจริงนี้เลย) กฎหมายไม่ประสงค์ให้ใช้วิธีการตาต่อตาฟันต่อฟันเพื่อแก้แค้นเอาคืนกัน กฎหมายจึงกำหนดให้ไปดำเนินคดีเอาผิดและลงโทษ ตามกติกาของสังคมซึ่งมีวิธีการและบทลงโทษอยู่แล้ว ทั้งนี้เพื่อไม่ให้สังคมต้องยุ่งเหยิง เมื่อเกิดเรื่องขึ้นจริงต้องไปแจ้งความดำเนินคดีจะเป็นทางออกที่ดีกว่า
การแชร์โพสต์ต่อๆกันไปก็เท่ากับว่าท่านได้ทำการเผยแพร่ข้อความอันทำให้ผู้ อื่นได้รับความเสียหาย อาจเป็นความผิดทางอาญาฐานหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา ตลอดจนเป็นการละเมิดทางแพ่งซึ่งท่านอาจถูกเรียกค่าเสียหายได้ ทั้งๆที่ไม่ใช่เรื่องที่ท่านมีส่วนได้เสียเกี่ยวข้องด้วยเลย
เตือนใจสักนิดก่อนคิดแชร์สิ่งใดครับ
เหตุเนื่องจากการกดเงินผ่านบัตรเครดิต/อายุความ/โอนสิทธิเรียกร้อง
เบื้องต้นคงต้องทำความเข้าใจกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3101/2551
ที่โจทก์ฎีกาปัญหาข้อกฎหมายว่า จำเลยทั้งสองเบิกถอนเงินสดล่วงห
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7610/2549
การที่จำเลยเปิดบัญชีเงินฝากกระ
ประการต่อมาก็เรื่องการโอนสิทธิ
คำตอบคือสามารถทำได้ครับแต่มีเง
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 303 สิทธิเรียกร้องนั้นท่านว่าจะพึง
ความที่กล่าวมานี้ย่อมไม่ใช้บัง
..............................
มาตรา 306 การโอนหนี้อันจะพึงต้องชำระแก่เ
ถ้าลูกหนี้ทำให้พอแก่ใจผู้โอนด้
..............................
มาตรา 308 ถ้าลูกหนี้ได้ให้ความยินยอมดังก
ถ้าลูกหนี้เป็นแต่ได้รับคำบอกกล
..............................
จะเห็นได้ว่าการโอนสิทธิเรียกร้
เป็นหนี้ก็ต้องชำระแต่การใช้สิท
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)