วันพุธที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2557

จริงหรือไม่ที่ข้อตกลงใดกำหนดให้ผู้ค้ำประกันต้องรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม หรือตกอยู่ในฐานะลูกหนี้ร่วม ข้อตกลงนั้นเป็นโมฆะ ?

คำตอบคือจริง 
               
               "แต่" ต้องเป็นสัญญาค้ำประกัน ที่ทำขึ้นนับแต่วันที่มาตรา ๖๘๑/๑ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งได้บัญญัติขึ้นใหม่มีผลใช้บังคับแล้วเท่านั้น

                ดังนั้น สัญญาค้ำประกันที่ได้ทำกันก่อนที่ มาตรา ๖๘๑/๑ จะมีผลใช้บังคับก็ยังคงมีผลเป็นเช่นเดิม คือ ยังบังคับให้ให้ผู้ค้ำประกันต้องรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมได้

                "มาตรา ๖๘๑/๑ ข้อตกลงใดที่กำหนดให้ผู้ค้ำประกันต้องรับผิดอย่างเดียวกับลูกหนี้ร่วมหรือในฐานะเป็นลูกหนี้ร่วม ข้อตกลงนั้นเป็นโมฆะ"

                กรณีนี้ถือเป็นการปลดภาระให้กับผู้ค้ำประกันซึ่งจะได้มีการทำสัญญากันในภาย หน้า ไม่ให้ต้องยอมรับสภาพอย่างลูกหนี้ร่วมอีกต่อไป ดังนั้น แม้สัญญาจะได้กำหนดข้อให้รับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมไว้ แต่การทำสัญญาได้ทำเมื่อ ปพพ.มาตรา ๖๘๑/๑ มีผลใช้บังคับแล้ว ข้อกำหนดนั้นก็จะตกเป็นโมฆะไม่สามารถนำมาบังคับกันได้ตามกฎหมาย
  

               รายละเอียดกฎหมายและกำหนดบังคับใช้ดูได้ตามลิงค์ครับ

               http://nitilawlegaladvisors.blogspot.com/2014/11/blog-post.html

วันเสาร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

หลักค้ำประกันใหม่รู้ก่อนได้เปรียบ

                ด้วยมีการแก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ในส่วนที่เกี่ยวกับการค้ำประกัน ซึ่งได้แก้ไขใหม่หลายมาตราอยู่เช่นกัน  และประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วเมื่อวันที่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๗  โดยให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดเก้าสิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป  คือ  มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ เป็นต้นไป


                พูดถึงเรื่องการค้ำประกันทุกท่านย่อมรู้จักกันดี  บางท่านอาจได้เคยผ่านการเป็นผู้ค้ำประกันมาแล้วเสียด้วยซ้ำ บางท่านเป็นเจ้าหนี้  บางท่านอาจเป็นลูกหนี้   ซึ่งตามกฎหมายการค้ำประกันนั้นไม่ได้มีเพียงเรื่องกู้ยืมเงินกันเท่านั้น ในทางธุรกิจก็มีการนำเอาหลักเรื่องค้ำประกันความเสียหายมาใช้อยู่ก็มาก ซึ่งหลักการค้ำประกันที่แก้ไขใหม่นี้มีทั้งการห้าม มีทั้งการกำหนดขั้นตอนวิธีการในการบอกกล่าวทวงถาม ดังนั้น ลูกหนี้ เจ้าหนี้ ผู้ค้ำประกัน ควรได้รับรู้ไว้เพื่อไม่กระทำการผิดไปจากที่กฎหมายได้กำหนด


                รายละเอียดกฎหมายที่แก้ไขใหม่ดูได้ตามไฟล์ภาพประกอบ ท่านที่สนใจเข้าไปศึกษาและผมจะได้หยิบยกข้อกฎหมายเกี่ยวกับการค้ำประกันที่แก้ไขใหม่นี้ มาพูดคุยกันในคราวต่อไปครับ




                "พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒๐) พ.ศ. ๒๕๕๗"








วันอังคารที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ขยายความคิดเห็นต่อฎีกาดัง กรณีรถหายในห้าง (ฎ. 7471/2556)


               ดังที่ได้เป็นข่าวน่ายินดีกับประชาชนผู้บริโภคซึ่งปรากฏแพร่หลายในสื่อโซเชียลเน็ตเวิร์คว่า ได้มีคำพิพากษาศาลฎีกาซึ่งตัดสินว่าเมื่อรถหายในห้าง ห้างต้องรับผิด

               โดยประเด็นนี้มีผู้สอบถามเข้า มาพอสมควร ซึ่งในเรื่องนี้มีข้อน่าสังเกตว่า ความรับผิดเช่นนี้จะคงมีต่อห้างสรรพสินค้าเพียงอย่างเดียวหรือไม่ 

ผู้ประกอบการธุรกิจประเภทอื่นควรคำนึงถึงกรณีความรับผิดอันอาจเกิดขึ้นต่อ กิจการของตนหรือไม่ ?

   


                จากคำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าวได้ข้อเท็จจริงอันสำคัญ ดังนี้

                “ห้างสรรพสินค้า”   ได้รับผลประโยชน์โดยตรงจากการมีที่จอดรถให้แก่ลูกค้า เพราะมีที่จอดรถย่อมทำให้ลูกค้าสนใจที่จะเข้ามาซื้อสินค้ากับห้าง

                “เจ้าของรถ”  ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าเจ้าของรถได้กระทำด้วยความประมาทจนเป็นเหตุให้รถของตนสูญหาย

                ท่านจะเห็นได้ว่า เมื่อห้างได้รับประโยชน์จากการจัดให้มีที่จอดรถให้แก่ลูกค้าเพื่อดึงดูดใจ ลูกค้ามาซื้อสินค้าภายในห้างของตน ดังนี้ ห้างย่อมต้องมีหน้าที่รักษาความปลอดภัยให้แก่รถของ”ลูกค้าของห้าง”ด้วย เมื่อห้างละเลยเรื่องการตรวจสอบให้ดีพอเพื่อป้องกันอันตรายอันเกิดแก่รถยนต์ ของลูกค้าซึ่งนำเข้ามาจอดยังที่จอดรถดังกล่าว จึงเป็นการละเว้นสิ่งที่ห้างต้องกระทำตามหน้าที่ต่อลูกค้าของตน และเมื่อการละเลยดังกล่าวเป็นเหตุให้รถยนต์ของลูกค้าสูญหายจึงเป็นการละเมิด ต่อลูกค้าโดยตรง ห้างจึงต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ลูกค้า

                 แล้วกรณีเช่นนี้ จะนำไปใช้กับกิจการอื่นๆนอกจากห้างสรรพสินค้าได้หรือไม่ หากเป็นกรณีโรงแรม หอพัก ร้านอาหาร ร้านค้า ฯลฯ จะเป็นเช่นไร ?
เป็นเรื่องที่น่าคิดมากครับ ที่จริงบางกิจการมีกฎหมายเฉพาะอยู่เช่นกัน แต่เมื่อลองมองในมุมของเรื่องละเมิดแล้ว ผมเห็นว่าหากการที่กิจการต่างๆมีที่จอดรถไว้เพื่อประโยชน์ในการ “ตัดสินใจ” ในการเข้าใช้บริการ หรือเข้าซื้อสินค้าของตน แล้ว ก็น่าจะมีหน้าที่และความรับผิดเช่นเดียวกับห้างตามคำพิพากษาดังกล่าวด้วย

                 ข้อสังเกต.

                 ถ้านำรถมาจอดในที่จอดรถของห้างแต่ไม่เข้าใช้บริการหรือซื้อสินค้าในห้าง เช่นนี้ ห้างต้องรับผิดหรือไม่

                 ซึ่งประเด็นนี้ ผมตั้งเป็นข้อสังเกตไว้ว่า ผู้เอารถเข้าไปจอดในที่จอดรถของห้างไม่มีเจตนาเข้าใช้บริการหรือจับจ่ายซื้อ สินค้าในห้างมาแต่ต้น เพียงฉวยโอกาสเข้าไปใช้ความสะดวกจากบริการที่ห้างมีให้แก่ลูกค้าของห้างเท่า นั้น หากมีข้อเท็จจริงนี้เกิดขึ้นประการหนึ่ง หรือ ลูกค้าของห้างประมาทเลินเล่ออย่างชัดเจนไม่ว่าทางหนึ่งทางใดจนเป็นเหตุให้รถ ของตนสูญหาย ผลของคำพิพากษาจะยังคงเป็นเช่นดังคำพิพากษาศาลฎีกาฉบับนี้อยู่หรือไม่

                  ขอทิ้งท้ายให้คิดเป็นข้อเตือนใจ   ว่าอย่างไรแล้วจะนำรถเข้าไปจอดในที่จอดของห้างก็ ต้องอุดหนุนห้างด้วย และต้องรู้จักระมัดระวังทรัพย์สินของตนให้ดี เพราะแม้รถจะหายจากห้างเหมือนกันแต่ข้อเท็จจริงแต่ละคดีที่ต่างกันออกไปอาจเป็นผลให้คำพิพากษาต่างกันออกไปด้วย

....................................................


คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7471/2556

ป.พ.พ. มาตรา 420


จำเลยเป็นห้างสรรพสินค้าขายปลีกและขายส่งสินค้าอุปโภคและบริโภค ย่อมต้องให้ความสำคัญด้านบริการต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริการเกี่ยวกับสถานที่จอดรถซึ่งนับเป็นปัจจัยสำคัญในการ ตัดสินใจของลูกค้าที่จะเข้าไปซื้อสินค้าหรือใช้บริการอื่น ๆ หรือไม่ แม้ พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 มาตรา 8 (9), 34 บัญญัติให้จำเลยซึ่งเป็นเจ้าของอาคารต้องจัดให้มีพื้นที่จอดรถเพื่ออำนวย ความสะดวกแก่การจราจร แต่จำเลยยังต้องคำนึงและมีหน้าที่ดูแลความปลอดภัยของลูกค้าทั้งในชีวิตและ ทรัพย์สิน มิใช่ปล่อยให้ลูกค้าระมัดระวังหรือเสี่ยงภัยเอาเอง การที่จำเลยเคยจัดให้มีการแจกบัตรสำหรับรถของลูกค้าที่เข้ามาในห้างซึ่งเป็น วิธีการที่ค่อนข้างรัดกุม เพราะหากไม่มีบัตรผ่าน กรณีจะนำรถยนต์ออกไปจะต้องถูกตรวจสอบโดยพนักงานของจำเลย แต่ขณะเกิดเหตุกลับยกเลิกวิธีการดังกล่าวเสียโดยใช้กล้องวรจรปิดแทน เป็นเหตุให้คนร้ายสามารถเข้าออกลานจอดรถห้างฯ ของจำเลยและโจรกรรมรถได้โดยง่ายยิ่งขึ้น แม้จำเลยจะปิดประกาศว่าจะไม่รับผิดชอบต่อการสูญหายหรือเสียหายใดๆ รวมทั้งการที่ลูกค้าก็ทราบถึงการยกเลิกการแจกบัตรจอดรถ แต่ยังนำรถเข้ามาจอดก็ตาม ก็เป็นเรื่องข้อกำหนดของจำเลยแต่ฝ่ายเดียวไม่มีผลเป็นการยกเว้นความรับผิดใน การทำละเมิดของจำเลย

วันพุธที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2557

วันรพี

วันนี้ถือเป็นวันสำคัญของวงการกฎหมายวันหนึ่ง เรียกกันสั้นๆว่า "วันรพี"

เนื่องจากพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ทรงสิ้นพระชนม์ ในวันที่ ๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๖๓

พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์เป็นพระราชโอรสองค์ที่ 14 ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระองค์ที่ 2 ในเจ้าจอมมารดาตลับ พระองค์ทรงเปรียบได้ดั่งบิดาของวงการกฎหมายสมัยใหม่ของไทย

พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ทรงเป็นเสนาบดีกระทรวงยุติธรรม พระองค์ทรงมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการปฏิรูปการศาล ซึ่งปัญหาสำคัญสำหรับศาลไทยในเวลานั้น คือ เรื่องของศาลกงสุลต่างชาติ ที่มีอยู่เป็นจำนวนมากในยุคนั้น เป็นที่รู้กันว่าชาวต่างเหล่านี้มีอำนาจอิทธิพลมาก เมื่อเกิดคดีความหรือข้อโต้แย้ง ชาวไทยมักตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ เพราะชาวต่างชาติมักจะอ้างว่ากฎหมายยังล้าหลังไม่ทันสมัยเพื่อเป็นข้ออ้าง เอาเปรียบชาวไทยซึ่งสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการที่ผู้พิพากษาและเจ้าหน้าที่ศาล ของไทยยังไม่พร้อมที่จะรับข้อกฎหมายใหม่ๆ ในเวลานั้น พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ทรงแก้ปัญหาเรื่องนี้โดยการจ้างชาวต่างชาติมาเป็น ผู้พิพากษาเป็นเหตุให้ผู้พิพากษาศาลไทยเกิดความกระตือรือร้นเร่งศึกษาชา กฎหมายไทยและต่างประเทศทำให้ศาลไทยมีความเชื่อถือมากขึ้นและเป็นที่ยอมรับ ของชาวต่างชาติ ถึงกับยกเลิกศาลกงสุลยอมให้คนชาติตัวเองมาขึ้นศาลไทยนอกจากนั้น ยังทรงปฏิรูปการศาลในด้านอื่นอีกมากมาย อาทิ

ขอพระราชทานพระบรมราชาอนุญาตให้ศาลในสังกัดกระทรวงยุติธรรมสามารถกำหนดโทษ เองได้ เนื่องจากในสมัยนั้นเมื่อศาลกำหนดโทษจำคุกผู้ต้องหาแล้ว ต้องให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงกำหนดเวลาให้อีกชั้นหนึ่ง ซึ่งเป็นเหตุของความล่าช้าในวงการศาล

ทรงปรับปรุงเงินเดือนผู้พิพากษาให้เหมาะสมกับตำแหน่งหน้าที่

ออกประกาศ ออกประกาศยกเลิก หรือแก้ไขพระราชบัญญัติ กฎเสนาบดีกว่า 60 ฉบับ เพื่อแก้ไขจุดที่บกพร่อง เพิ่มสิทธิของคู่ความให้เท่าเทียมกัน หรือแก้ไขบทลงโทษที่ล้าหลัง


หมายเหตุ

ที่มาข้อมูล วิกิพีเดีย
http://th.wikipedia.org/wiki/รพี

วันอาทิตย์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2557

กรณีมีผู้ลักบัตรเครดิตไปใช้ซื้อสินค้า ใครต้องรับผิดชอบ

วันนี้ขอเสนออุทาหรณ์ กรณีบัตรเครดิตหายไปแล้วมีคนนำไปใช้  ใครคือผู้ต้องรับผิดชอบครับ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1989/2552

ข้อตกลงการใช้บัตรวีซ่า ข้อ 8 ที่กำหนดให้จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์ในกรณีที่บัตรเครดิตสูญหาย ถูกลักขโมย หรือถูกใช้โดยบุคลอื่นโดยมิได้รับอนุญาตจากผู้ถือบัตร (จำเลย) ที่ได้แจ้งข้อเท็จจริงดังกล่าวให้ศูนย์บัตรเครดิตของธนาคาร (โจทก์) ทราบแล้วโดยพลัน เพื่อให้ระงับการใช้บัตรเครดิต ในภาระหนี้สินที่เกิดขึ้นก่อนมีการแจ้งดังกล่าวในจำนวนเงินที่เกิดจากการใช้บัตรเครดิตของผู้ถือบัตร ซึ่งถูกนำไปใช้โดยมิชอบ รวมถึงภาระหนี้สินที่เกิดขึ้นหลังจากแจ้งให้ธนาคารทราบแล้วไม่เกิน 5 นาที นอกจากจะขัดแย้งกับข้อตกลงการใช้บัตรวีซ่า ข้อ 6 วรรคสอง แล้ว ยังถือเป็นข้อสัญญาที่ทำให้จำเลยต้องรับภาระในหนี้ที่เกิดจากการใช้บัตรเครดิตที่จำเลยไม่ได้ก่อขึ้น และไม่ได้อยู่ในความรับผิดชอบของจำเลย ทั้งโจทก์ยังมีทางแก้ไขความเสียหายของโจทก์ได้ โดยหากโจทก์ตรวจสอบแล้วปรากฎว่าลายมือชื่อผู้ใช้บัตรเครดิตในเซลสลิปไม่ตรงกับลายมือชื่อของจำเลยผู้ถือบัตร โจทก์สามารถเรียกเงินที่ได้จ่ายไปคืนจากร้านค้าได้ ฉะนั้น เมื่อโจทก์ได้รับแจ้งจากจำเลยว่าบัตรเครดิตได้สูญหายไปเพื่อขอให้โจทก์ระงับการใช้บัตรเครดิต โจทก์จะต้องรีบดำเนินการให้จำเลยโดยเร็ว ก็จะทราบได้ทันทีว่าลายมือชื่อผู้ใช้บัตรเครดิตในเซลสลิปไม่ตรงกับลายมือชื่อของจำเลย แสดงว่าร้านค้าไม่ได้ใช้ความระมัดระวังตรวจสอบลายมือชื่อในเซลสลิป ย่อมทำให้โจทก์มีสิทธิที่จะเรียกเงินที่ชำระไปแล้วคืนจากร้านเจมาร์ทแทนการมาเรียกเก็บจากจำเลยได้ ซึ่งเป็นธรรมกับทุกฝ่าย แต่โจทก์มิได้ทำเช่นนั้น โดยเห็นว่ามีข้อตกลงการใช้บัตรวีซ่า ข้อ 8 ที่ให้จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์อยู่แล้ว ถือเป็นการเอาเปรียบจำเลยเกินสมควรและเป็นการผลักภาระให้จำเลยต้องรับผิดเกินกว่าวิญญูชนทั่วไปจะคาดหมายได้ตามปกติ อันเข้าลักษณะข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม ข้อตกลงการใช้บัตรวีซ่า ข้อ 8 จึงไม่มีผลใช้บังคับ จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชำระหนี้ให้โจทก์

คดีนี้ธนาคารได้เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องจำเลยซึ่งเป็นสมาชิกผู้ถือ บัตรวีซ่า โดยอ้างสัญญาการใช้บัตรที่ว่า "ผู้ถือบัตรต้องรับผิดชอบแม้ บัตรเครดิตสูญหาย ถูกลักขโมย หรือถูกใช้โดยบุคลอื่นโดยมิได้รับอนุญาตจากผู้ถือบัตร ก็ตาม"

แต่ผู้ถือบัตรในคดีนี้ได้รีบแจ้งอายัดบัตรแล้วโดยทันที มีผลทำให้ ธนาคารเกิดภาระหน้าที่ต้องเร่งตรวจสอบความถูกต้องของรายการใช้บัตรเครดิตนั้น และศาลฎีกายังได้อธิบายถึงหนทางเยียวยาแก้ไขความเสียหายของธนาคารไว้ด้วยว่า  เมื่อตรวจสอบเอกสารแล้วลายมือชื่อที่เซ็นไว้กับบัตรไม่ตรงกัน ธนาคารย่อมเรียกร้องเอาเงินที่ทดรองจ่ายไปก่อนนั้นคืนจากร้านค้าได้ การที่มาฟ้องผู้ถือบัตรตามข้อสัญญาว่าต้องรับผิดนั้นไม่ถูกต้อง และยังได้ชี้ว่าข้อสัญญาดังกล่าวนั้นเป็นข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม พ.ศ.2540 มาตรา 4 อีกด้วย

หวังกรณีอุทาหรณ์คดีนี้จะเป็นประโยชน์แก่ท่านผู้อ่าน ส่วนเหตุที่ธนาคารสามารถเรียกร้องเอาเงินคืนจากร้านค้าได้ด้วยเหตุผลและหลักกฎหมายใดนั้นติดตามต่อครั้งหน้าครับ

วันพฤหัสบดีที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

หลอกขายของแต่ไม่ถึงกับเป็นความผิดฐานฉ้อโกง “รอดไปเลย” จริงหรือ ?

               พูดถึงการฉ้อโกงในการขายสินค้า ไม่ว่าจะเป็นการซื้อขายกันโดยตรงหรือซื้อขายผ่านระบบออนไลน์ก็ตาม มีหลักพิจารณาในทางกฎหมาย คือ ผู้บอกขายทุจริต หลอกลวงผู้ซื้อด้วยการแสดงข้อความอันเป็น เท็จ หรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งชัด และโดยการหลอกลวงนั้นผู้บอกขายได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคล ที่สาม การกระทำนั้นเป็นความผิดฐานฉ้อโกง

                แต่ก็พบว่าในการดำเนินคดีกับผู้หลอกลวง บางครั้งก็มีกรณี พนักงานสอบสวนมีความเห็นไม่สั่งฟ้องหรือพนักงานอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องคดี ตลอดจนแม้มีการฟ้องคดีแล้วแต่ศาลได้พิจารณาพิพากษาว่าไม่เป็นการฉ้อโกงเพราะ ข้อเท็จจริงในการนำสืบยังไม่ครบองค์ประกอบของความผิด ดังนี้ คนส่วนใหญ่จึงไม่อยากที่จะรักษาสิทธิของตนโดยคิดไปว่าเป็นการเสียเวลา ยังไงก็เอาผิดไม่ได้ ซึ่งน่าเห็นใจจริงๆครับ แต่ท่านก็อย่าเพิ่งหมดกำลังใจไป เหตุที่พนักงานสอบสวนมีความเห็นไม่สั่งฟ้องหรือพนักงานอัยการมีคำสั่งไม่ ฟ้องคดี ตลอดจนในกรณีที่ศาลมีคำพิพากษายกฟ้องก็เพราะมีความเห็นทางกฎหมายว่าสิ่งที่ ทำนั้นไม่ถึงกับเป็นความผิดฐานฉ้อโกง ทีนี้ ถ้าถูกหลอกแต่ไม่เป็นฉ้อโกงจะเอาผิดได้อีกหรือไม่มาดูกันครับ

               ที่จริงการขายสินค้านั้น การโฆษณา หรือ การพรรณนาสรรพคุณ และการบอกถึงแหล่งที่มาของสินค้า เป็นเรื่องสำคัญที่ผู้ขายต้องระวังให้จงหนัก ไม่ใช่เพียงกล่าวให้สวยหรูเพื่อการขายเพียงอย่างเดียวเป็นพอใจ ในวันนี้ผมจึงขอยกข้อกฎหมายเรื่อง "หลอกขาย" สินค้า ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๑ มาเล่าสู่กันฟังครับ




               การหลอกขาย ความหมายก็ตรงตัว คือตั้งใจหลอกผู้ซื้อ ในเรื่องที่มาของสินค้า สภาพ คุณภาพหรือปริมาณ เช่น ผู้ขายอ้างว่าสินค้านี้ เป็นของแท้จากญี่ปุ่น ทั้งๆที่จริงเป็นของแท้แต่ผลิตในประเทศไทย (เป็นของผลิตในไทยราคาถูกกว่า) หรือ รถมือสอง ผู้ขายบอกว่าเป็นรถบ้านสภาพดีใช้น้อยสวยทั้งคัน แต่ที่จริงมีการเปลี่ยนอะไหล่ (ยำอะไหล่) ไปแล้ว ผู้ซื้อนำมาใช้ได้ไม่นานก็ต้องมีการซ่อมใหญ่ เหล่านี้เป็นต้น ซึ่งการกระทำดังกล่าวเป็นการขายของโดย “หลอกลวง” ด้วยประการใด ๆ ให้ผู้ซื้อหลงเชื่อในแหล่งกำเนิด สภาพ คุณภาพหรือปริมาณแห่งของนั้นอัน “เป็นเท็จ” โดยการกระทำนั้นไม่ถึงกับเป็นความผิดฐานฉ้อโกง แต่ก็เป็นความผิดทางอาญา ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

                เห็นหรือไม่ครับ แม้ไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกงแต่ก็ยังมีความผิดฐานหลอกขายอยู่ ซึ่งผู้ซื้อก็ควรรู้ผู้ขายก็ควรระวัง หากมีข้อสงสัยสอบถามเพิ่มเติมได้ครับ

วันอาทิตย์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ใครเคยเป็นหุ้นส่วนสามัญบ้างยกมือขึ้น

               วันนี้มาพูดกันถึงประเด็นใกล้ตัวเราอีกเรื่องหนึ่งครับ ไม่ทราบว่าท่านใดเคยร่วมกันทำการค้าบ้างครับ ไม่ว่ากับเพื่อน กับคนรัก ขายของเล็กๆน้อยๆ ตลอดจนการเข้าหุ้นกันทำกิจการอย่างจริงจังเป็นหลักเป็นฐานแต่ไม่ได้ดำเนินการจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล อย่างบริษัท หรือห้างหุ้นส่วนจำกัด ฯ การที่ได้เข้าหุ้นกันทำกิจการโดยมีจุดประสงค์เพื่อแสวงหากำไรมาแบ่งกัน ไม่ว่าจะแบ่งกันแบบตามส่วนเท่าๆกันหรือตามแต่ที่จะได้ตกลงกันไว้ เช่นนี้ ในทางกฎหมายถือว่าท่านได้ก่อตั้งห้างหุ้นส่วนขึ้นมาแล้ว โดยไม่จำเป็นที่จะต้องจดทะเบียนหรือมีสำนักงานหน้าร้านแต่อย่างใด ซึ่งมีคำเรียกว่า “ห้างหุ้นส่วนสามัญ” ซึ่งมีสถานะทางกฎหมาย

                เมื่อเป็นการก่อตั้งห้างหุ้นส่วนสามัญขึ้นมาแล้ว กฎหมายได้กำหนดหน้าที่ ความรับผิด ทั้งระหว่างหุ้นส่วนด้วยกันเอง และที่ต้องมีต่อบุคคลภายนอกเอาไว้แล้วในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งในวันนี้ผมขอหยิบยกเอาหลักในเรื่องความรับผิดต่อเจ้าหนี้ของห้างหุ่น ส่วนสามัญมาเล่าสู่กันฟังพอเป็นสังเขป

                เมื่อทำการค้าก็ย่อมเป็นธรรมดาที่จะต้องมีการลงทุนและบ่อยครั้งจะต้องมีการ กู้ยืมหรือเปิดเครดิตสินค้า ไม่ว่าจะกู้เงินสดมาใช้ หรือ ซื้อเชื่อสินค้ามาขายก่อน หากของขายง่ายหมดเร็วได้กำไรก็ไม่น่าจะมีปัญหาแบ่งกำไรกันไปไม่ว่าจะแบ่งกัน แบบตามส่วนเท่าๆกันหรือตามแต่ที่จะได้ตกลงกันไว้อย่างมีความสุข แต่หากสินค้าขายไม่ออก ขาดทุน ปัญหาก็เกิด ทีนี้ จะแบ่งกันชำระหนี้เหมือนกับการแบ่งกำไรได้หรือไม่ คำตอบคือ ถ้าจ่ายหนี้เต็มจำนวนเจ้าหนี้ก็ไม่สนหลอกครับว่าเงินจะมาจากใครเท่าไหร่บ้าง แต่ถ้าไม่ยอมจ่ายจนต้องถูกฟ้องบังคับให้ชำระหนี้ กฎหมายกำหนดให้ผู้เป็นหุ้นส่วนทุกคนต้องร่วมกันรับผิดชอบให้หนี้สินของห้าง หุ้นส่วนอย่างไม่จำกัดจำนวน

               พูดง่ายๆเจ้าหนี้ไล่เบี้ยได้กับทุกคนโดยไม่สนจำนวนหุ้นของหุ้นส่วนแต่ละคน ว่าใครจะมากใครจะน้อย ไม่เหมือนกับตอนแบ่งกำไรกันเลย แต่ก็เป็นความรับผิดของหุ้นส่วนตามที่กฎหมายได้กำหนดไว้ครับ

วันศุกร์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ถูกโพสต์ภาพตัดต่อ ใช้สิทธิ์อะไรได้บ้าง

               นับวันเทคโนโลยียิ่งก้าวหน้า การใช้เทคโนโลยีในทางที่ผิด ก็มีปรากฏให้เห็นมากขึ้นทุกวัน แอพพลิเคชั่นต่างๆก็ออกแบบมามากมาย ดาวน์โหลดและใช้งานได้ง่ายจนเด็กเล็กๆก็สามารถใช้งานได้ และคนเราบ่อยครั้งที่เมื่อยามดีก็ดีกันสุดๆ พอผิดใจกันอะไรๆก็เกิดขึ้นได้

                มีผู้สอบถามมาว่าถูกโพสต์ภาพที่มีการตัดต่อลงในระบบออนไลน์เป็นเหตุให้ได้รับความเสียหาย จะทำยังไงได้บ้าง

                แน่นอนครับเมื่อมีการทำให้เกิดความเสียแก่เรา ในทางแพ่งย่อมเป็นละเมิดแม้ไม่มีเจตนาก็ตาม แต่ก็ยังต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ได้ทำไปซึ่งเป็นการละเมิดอยู่นั่นเอง การใช้สิทธิ์เรียกร้องค่าเสียหายทางแพ่งก็คำนึงถึงความเสียหายที่ผู้เสียหาย ได้รับ หากเป็นนักแสดงหรือบุคคลซึ่งมีชื่อเสียงแล้วค่าเสียหายย่อมเรียกได้สูงเป็น เงาตามตัว(สมเหตุสมผล)

                แต่การกระทำดังกล่าวจะไม่เป็นเพียงการละเมิดเท่านั้น หากการกระทำนั้นเป็นการโพสต์ภาพที่ตัดต่อเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ที่ประชาชน ทั่วไปอาจเข้าถึงได้ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่ปรากฏเป็นภาพของผู้อื่น และภาพนั้นเป็นภาพที่เกิดจากการสร้างขึ้น ตัดต่อ เติม หรือดัดแปลงด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์หรือวิธีการอื่นใด ทั้งนี้ โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง หรือได้รับความอับอาย ก็จะเป็นความผิดที่มีโทษทางอาญา ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ แต่การกระทำดังกล่าวจะไม่มีความผิด หากเป็นการกระทำโดยสุจริตและความผิดนี้เป็นความผิดอันยอมความได้ (พรบ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๑๖) ผู้เสียหายจึงสามรถแจ้งความดำเนินคดีอาญาได้ภายในอายุความ



                การตัดต่อภาพไม่จำเป็นจะต้องตัดต่อเฉพาะแต่ใบหน้าหรือส่วนของร่างกายอย่าง ที่เห็นกันบ่อยๆถึงจะเป็นความผิดนะครับ ไม่ว่าจะตัดต่อสถานที่ ตัดต่อบุคคลรอบข้าง ตัดต่อข้อความที่ปรากฎในภาพ สรุปคือ การตัดต่อแล้วนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ที่ประชาชน "อาจ" เข้าถึงได้ และ "น่าจะ" ทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง หรือได้รับความอับอาย ก็เป็นความผิดแล้วครับ

วันอังคารที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2557

ประนีประนอมโดยไม่เรียกผู้ค้ำประกันมาร่วมด้วย เจ้าหนี้ใช้สิทธิเรียกร้องกับผู้ค้ำประกันไม่ได้

               การทำสัญญาประนีประนอมยอมความคือการผ่อนปรนสิทธิที่มีต่อกันอยู่เดิม แล้วมายึดถือสิทธิตามสัญญาประนีประนอมยอมความที่ทำขึ้นใหม่แทน และด้วยการสละสิทธิที่มีอยู่เดิมนี้ข้อเรียกร้องต่างๆที่มีอยู่เดิมนั้นจึงสิ้นผลตามไป ซึ่งรวมถึงสัญญาค้ำประกันด้วย ดังนั้น หากในสัญญาเดิมมีผู้ค้ำประกันแต่เจ้าหนี้ไม่เรียกให้ผู้ค้ำประกันเข้ามาทำสัญญาประนีประนอมยอมความด้วยแล้ว สัญญาประนีประนอมนั้นจึงไม่ผูกพันผู้ค้ำประกัน

                เรื่องนี้เป็นกรณีสำคัญที่เจ้าหนี้ต้องพึงระมัดระวัง มิเช่นนั้นหลักประกันที่เจ้าหนี้เคยยึดถือไว้จะไม่อาจใช้สิทธิ์บังคับเอากับผู้ค้ำประกันได้ครับ

วันเสาร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2557

ลายน้ำบนภาพ และ การแชร์ภาพบนโซเชียลมีเดียกับประเด็นการละเมิดลิขสิทธิ์ภาพ

               เริ่มแรกที่ผมได้รับคำถามมาเกี่ยวกับลิขสิทธิ์ในภาพถ่ายซึ่งได้มีการนำขึ้นโพสต์กันในสื่อโซเชียลมีเดียต่างๆอย่างเปิดเผย ผมเลยตั้งใจว่าจะพูดในเรื่องลิขสิทธิ์ภาพแบบครอบคลุมตั้งแต่เริ่มต้นจนจบ แต่เนื่องจากยิ่งเขียนยิ่งยาวเกรงจะไม่อ่านกัน ในครั้งนี้จึงขอพูดถึงเพียงประเด็นที่ถามมาเท่านั้นแล้วในครั้งต่อๆไปจะนำในส่วนอื่นมาเพิ่มเติมให้ครับ

                คำถามมีว่า จำเป็นหรือไม่ที่จะต้องลงลายเซ็น(ลายน้ำ)กำกับไว้ในภาพที่เราถ่ายแล้วจึงนำมาโพสต์ในโซเชียลมีเดีย(ที่จริงถามเพียงFacebook) ถึงจะทำให้ผู้อื่นนำไปใช้ไม่ได้
                เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผู้ถามกังวลว่าภาพของตนจะมีคนเอาไปใช้โดยไม่ยินยอมเพราะไม่อาจป้องกันการทำซ้ำภาพได้ (โดยระบบและเทคโนโลยียากที่จะป้องกัน)  
                มาเริ่มกันเลยครับ การถ่ายภาพคือการสร้างสรรค์งานศิลปกรรมอย่างหนึ่งซึ่งมีลิขสิทธิ์ตามกฎหมายของไทย ผู้ถ่ายภาพคือ ผู้สร้างสรรค์ผลงานและได้ไปซึ่งลิขสิทธิ์ในภาพที่ถ่ายออกมานั้นทันทีโดยไม่จำต้องไปจดทะเบียน เว้นแต่ ภาพถ่ายนั้นเป็นภาพที่รับจ้างถ่ายผู้ว่าจ้างจะเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ (วิธีแก้ไขเอาไว้ครั้งหน้าครับ)และผมขอทำความเข้าใจก่อนว่าการนำภาพต่างๆมาแสดงไว้ในที่สื่อโซเชียลมีเดียใดนั้น ต้องดูเงื่อนไขที่เจ้าของระบบได้ตั้งขึ้นและผู้ใช้ได้ตกลงยินยอมไว้ตั้งแต่ตอนสมัครเข้าใช้งานหรือ ที่ได้ปรับปรุงขึ้นใหม่ด้วย หากมีข้อตกลงในทำนองว่าให้เจ้าของระบบและหรือผู้เข้าชมสามารถทำซ้ำ และหรือ นำไปใช้ได้ด้วย เช่นนี้ คงห้ามการนำไปใช้ต่อได้ยากหน่อย แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะหมดหนทางป้องกันเสียทีเดียว หนึ่งในวิธีที่นิยมกันคือการลงลายน้ำบนภาพที่นำขึ้นแสดง เพราะลายน้ำจะติดไปกับภาพเมื่อมีคนนำภาพของเราไปแสดงต่อผู้ชมก็จะเห็นลายน้ำของเจ้าของภาพด้วย แต่ท่านจะเห็นว่าในเพจที่ปรึกษากฎหมาย นิติ ลอว์ นี้ บางภาพก็มีลายน้ำบางภาพก็ไม่มี เหตุผลเพราะในทางกฎหมายแล้วมันไม่จำเป็นครับ จะมีหรือไม่ เจ้าของภาพก็ยังคงมีลิขสิทธิ์ในภาพนั้นอยู่ดี แต่การมีลายน้ำก็เป็นประโยชน์อย่างที่กล่าวไปแล้วข้างต้น คำตอบของคำถามนี้คือ มีดีกว่าไม่มีครับ

               



               ทีนี้มาถึงเรื่องการแชร์ภาพ เนื่องจากหลายโซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะ Facebook มีคำสั่ง “แชร์” ซึ่งสามารถส่งต่อภาพของเราโดยผู้ใช้งาน Facebook คนอื่นได้ การแชร์ไปยังหน้าเพจต่างๆนั้นเป็นการเผยแพร่ตามกฎหมาย จะมีความผิดหรือไม่ ผมเห็นว่าไม่ผิด เพราะเป็นการให้อนุญาตไว้ล่วงหน้า หรือ โดยปริยายแล้ว อีกทั้ง การแชร์ คือส่วนสำคัญของ โซเชียลมีเดียสังคมที่เน้นการแบ่งปันข้อมูลข่าวสารต่างๆ และเจ้าของภาพยังต้องยอมรับเงื่อนไขของการแบ่งปันข้อมูลนี้ก่อนที่จะลงทะเบียนเข้าใช้ระบบครั้งแรกและยังมีที่ปรับปรุงขึ้นมาใหม่เป็นระยะๆด้วย อีกทั้งการแชร์ไปนั้นระบบจะระบุที่มาของภาพว่ามาจาก Facebook ของใคร ไม่ทำให้ผู้อื่นเข้าใจว่าผู้แชร์เป็นเจ้าของภาพ แต่ถ้ามีการทำซ้ำภาพ และหรือ แก้ไขภาพทั้งหมดหรือแต่งส่วนหนึ่งส่วนใด แล้วนำไปโพสต์อ้างว่าเป็นภาพของตน หรือนำไปเผยแพร่โดยเจตนาให้ผู้อื่นเข้าใจว่าเป็นผลงานของตน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทางการค้า หรือการสนับสนุนการค้าหรือหากำไร เช่นนี้ เป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ชัดเจน มีความผิดตามกฎหมายและ เรียกค่าเสียหายได้ครับ แต่ถึงแม้จะมีการยินยอมอยู่ในระดับหนึ่งแล้วก็ตาม การที่จะนำภาพของผู้อื่นไปใช้หรือเผยแพร่ต่อก็ควรแจ้งให้เจ้าของภาพได้ทราบ หรือให้เครดิตเจ้าของภาพไว้ด้วย จะได้ไม่ต้องมีปัญหากันภายหลังครับ

วันพฤหัสบดีที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2557

ผู้เสียหายในคดีอาญากับมาตรา 44/1

               หลายท่านคงเคยได้ยินได้ฟังมาบ้างเกี่ยวกับเรื่องของประมวลวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา44/1  ว่าคือการที่ผู้เสียหายในคดีอาญาใช้สิทธิ์ยื่นคำร้องขอต่อศาลชั้นต้นที่พิจารณาคดีอาญานั้น เพื่อเรียกร้องค่าเสียหาย อันเป็นสินไหมทดแทนจากจำเลยในคดี เพราะเหตุที่ได้กระทำความผิดขึ้นทำให้ผู้เสียหายได้รับความเสียหายต่างๆตามที่กฎหมายได้กำหนดไว้ ซึ่งกรณีประมวลวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 44/1 นี้ เป็นการใช้สิทธิเรียกค่าเสียหายทางหนึ่งโดยไม่ต้องนำเรื่องไปฟ้องจำเลยเป็นคดีแพ่งขึ้นต่างหากอีก เมื่อยื่นคำร้องแล้วศาลที่พิจารณาคดีอาญาก็จะมีอำนาจพิจารณาความเสียหายในส่วนแพ่งให้แก่ผู้เสียหายได้ในคราวเดียวกันไปและสามารถมีคำพิพากษาในส่วนแพ่งนี้ไปพร้อมกันกับคดีอาญาได้ แต่ต้องไม่ใช่กรณีที่พนักงานอัยการได้ใช้สิทธิเรียกทรัพย์สินหรือราคาแทนผู้เสียหาย ตามประมวลวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 43 ไว้แล้ว ซึ่งผู้เสียหายจะยื่นคำร้องเรียกเอาทรัพย์สินหรือราคาทรัพย์สินอีกไม่ได้

                โดยผู้เสียหายจะต้องยื่นคำร้องขอค่าเสียหายเข้ามาในคดีอาญาที่พิจารณา ก่อนที่ศาลจะได้มีการสืบพยาน หรือกรณีที่จำเลยรับสารภาพโดยไม่มีการสืบพยานนั้น ต้องยื่นคำร้องก่อนศาลอ่าน       คำพิพากษาซึ่งไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมอย่างคดีแพ่งทั่วไปครับ เว้นแต่ ศาลจะเห็นว่าที่ผู้เสียหายได้     เรียกค่าสินไหมทดแทนมานั้นสูงเกินส่วน(สูงเกินไป) หรือเป็นการใช้สิทธิดำเนินคดีมาโดยไม่สุจริต ศาลมีอำนาจสั่งให้ชำระค่าธรรมเนียมทั้งหมดหรือแต่บางส่วนได้

                เมื่อศาลรับคำร้องของผู้เสียหายแล้ว ศาลจะทำการพิจารณาคดีในส่วนแพ่งด้วย ทำนองเดียวกันกับคดีแพ่งทั่วไป คือ สืบพยาน หรือ เข้าสู่ขั้นตอนการไกล่เกลี่ยเพื่อหาข้อยุติในเรื่องของ       ค่าเสียหายก่อนสืบพยานก็ได้ ดังนั้น ผู้เสียหายจึงต้องเตรียมทนายความไปด้วย หรือหากไม่สามารถจัดหาทนายความไปได้ด้วยตนเอง ก็สามารถร้องขอให้ศาลตั้งทนายความให้ได้ครับ

วันอังคารที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2557

ซื้อขายสินค้า "บนอินเตอร์เน็ต" ถูกโกง ฟ้องได้หรือไม่


                เป็นอีกหนึ่งคำถามที่มีผู้สอบถามเข้ามาครับ ว่าตนได้สั่งซื้อสินค้าจากผู้ขายซึ่งได้ประกาศขายสินค้าอยู่ในบอร์ดซื้อขาย สินค้าของเว็บไซต์แห่งหนึ่ง โดยผู้ซื้อได้ชำระเงินผ่านบัญชีธนาคารให้แก่ผู้ประกาศขายสินค้าดังกล่าวตาม ที่ได้ตกลงกันไว้แล้ว แต่ผู้ประกาศขายสินค้ากลับไม่ส่งสินค้ามาให้ ผู้ซื้อได้ติดตามสอบถามทางโทรศัพท์ และได้ตั้งกระทู้ในห้องไกล่เกลี่ยข้อพิพาทของเว็บไว้ซต์ข้างต้นหลายวันแล้ว ก็ไม่มีความคืบหน้า ผู้ประกาศขายอ้างต่างๆนาๆและสรุปว่าให้ยกเลิกการซื้อขายและขอให้คืนเงินที่ รับไปเต็มจำนวน แต่เวลาได้ล่วงเลยมานานผู้ซื้อก็ไม่ได้รับเงินคืนกลับมาเสียที เช่นนี้จะฟ้องได้หรือไม่
                เรื่องการซื้อขายสินค้ากันบนบอร์ดซื้อขายสินค้าออนไลน์นั้นไม่ต่างกับการ ซื้อขายสินค้ากับแบบปกติกครับ กฎหมายที่ใช้ก็บทเดียวกัน แต่จะมีข้อกฎหมายเพิ่มเติมขึ้นมาอีก เช่น พระราชบัญญัติว่าด้วยธุรกรรมทางอิเลกทรอนิกส์ พ.ศ.2544 ซึ่งจะกำหนดให้การซื้อขายตลอดจนข้อตกลงที่ทำขึ้นในรูปแบบอิเลกทรอนิกส์นั้น เสมือนเป็นข้อมูลในรูปแบบเอกสาร กำหนดเรื่องวิธีการรับฟังพยานหลักฐานที่อยู่ในรูปแบบอิเลกทรอนิกส์เพื่อเป็น หลักฐานที่สามารถอ้างในการดำเนินคดีได้ และกำหนดวิธีการรับรองการรับส่งข้อมูลทางอิเลกทรอนิกส์ การลงชื่อเข้าระบบด้วยชื่อผู้ใช้และรหัสผ่านเป็นดั่งเสมือนลายมือชื่อของคน ปกติ ทั้งนี้ เพื่อใช้เป็นการยืนยันตัวบุคคลที่ทำธุรกรรมทางอิเลกทรอนิกส์นั้นได้ ดังนี้ การทำธุรกรรมทางอิเลกทรอนิกส์เมื่อมีข้อโต้แย้งกันเกิดขึ้นจึงสามารถฟ้อง ร้องดำเนินคดีกันได้ครับ
                แต่ก่อนจะทำการซื้อขายสินค้ากันจึงควรทำการตรวจสอบข้อมูลของคู่สัญญาตลอดจน สินค้าให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และท่านอาจใช้บริการคนกลางการซื้อขายสินค้าเพื่มเติมขึ้นอีกชั้นหนึ่งด้วยก็ ได้ เพื่อที่จะลดโอกาสที่จะต้องมาดำเนินคดีกันในภายหลังครับ

วันอาทิตย์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2557

บนโลกอินเตอร์เน็ตแม้เจตนาดีก็ต้องมีขอบเขตนะครับ

               จากครั้งก่อนที่ผมได้กล่าวถึงการโพสต์ข้อความบทอินเตอร์เน็ต ในหัวข้อ “นั่งโพสต์อยู่ดีๆอาจมีหมายศาลมาถึงได้” โดยเตือนให้พึงระวังถึงข้อกฎหมายเรื่องหมิ่นประมาทไว้ด้วยก่อนที่จะลงมือ โพสต์หรือแชร์สิ่งใดต่อๆกันไปอีก รายละเอียดตามลิ้งค์http://nitilawlegaladvisors.blogspot.com/2013/08/blog-post_23.html ซึ่งก็ได้มีข้อสอบถามเข้ามาพอสมควรไม่ว่าจะโพสต์ลง เฟสต์บุ๊ค หรือ เว็ปเพจ ต่างๆ โดยได้รับการสอบถามและมีการขยายความถึงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นจากหลายๆท่าน ต่อเนื่องมาตลอด คำถามที่ได้รับมาสรุปความได้ คือ สิ่งที่โพสต์หรือแชร์ไปนั้น จะผิดฐานหมิ่นประมาทหรือไม่ เอาเป็นว่าวันนี้มาลองยกตัวอย่างเพิ่มเติมกันอีกสักเรื่องซึ่งพบเห็นอยู่ บ่อยครั้งบนหน้าฟีดข่าวบนเฟสต์บุ๊ค

                ประเด็นวันนี้คือ การแชร์ข้อความเตือนภัยต่างๆที่เกิดจากการกระทำของบุคคล ว่ามีพฤติการณ์ที่ไม่ดี เป็นอันตราย โดย ลงรูปภาพบุคคล หรือรายละเอียดของบุคคลนั้นประกอบด้วย ตัวอย่างเช่น มีโพสต์อ้างว่าเตือนภัยคนในภาพไปกระทำการลักทรัพย์ของบุคคลอื่นมา ไปทำร้ายคนอื่นมา เป็นต้น ซึ่งเป็นเรื่องส่วนตัว โดยอาจจะมีรายละเอียด ชื่อ-สกุล ที่อยู่ หรือไม่ก็ตาม ที่แน่ๆบุคคลในภาพนั้นก็ได้รับความเสียหายเสียแล้วทั้งๆที่ เราก็ไม่รู้หลอกว่าความจริงแล้วคนในภาพจะกระทำสิ่งที่ปรากฏตามข้อความนั้น จริงหรือไม่ แต้ด้วยความจิตใจดีของคนไทยเรา มีความเป็นห่วงเป็นใยผู้อื่นเสมอ ด้วยเจตนาดีเลยกดแชร์โพสต์ดังกล่าวต่อเนื่องกันไป (บางครั้งก็มีมือบอนร่วมด้วย) ยิ่งทำให้บุคคลในภาพได้รับความเสียหายเป็นวงกว้างยิ่งขึ้น ทั้งๆขณะที่กดแชร์ไปนั้นท่านก็ยังไม่รู้เลยว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่

                บางท่านอ่านมาถึงตรงนี้อาจนึกแย้งว่าถ้าเป็นจริงหละ สิ่งที่โพสต์เป็นเรื่องจริงหละ? จะไม่เป็นการดีกว่าหรือถ้ามีการแจ้งเตือนกันไว้ก่อน ประเด็นนี้พูดกันมาเยอะ สู้คดีกันมาก็มาก(หากโพสต์นั้นไม่ใช่เรื่องส่วนตัวก็สามารถนำสืบต่อสู้คดี ได้ แต่ถ้าเป็นเรื่องส่วนตัวกฎหมายห้ามนำสืบต่อสู้คดีในข้อเท็จจริงนี้เลย) กฎหมายไม่ประสงค์ให้ใช้วิธีการตาต่อตาฟันต่อฟันเพื่อแก้แค้นเอาคืนกัน กฎหมายจึงกำหนดให้ไปดำเนินคดีเอาผิดและลงโทษ ตามกติกาของสังคมซึ่งมีวิธีการและบทลงโทษอยู่แล้ว ทั้งนี้เพื่อไม่ให้สังคมต้องยุ่งเหยิง เมื่อเกิดเรื่องขึ้นจริงต้องไปแจ้งความดำเนินคดีจะเป็นทางออกที่ดีกว่า

                การแชร์โพสต์ต่อๆกันไปก็เท่ากับว่าท่านได้ทำการเผยแพร่ข้อความอันทำให้ผู้ อื่นได้รับความเสียหาย อาจเป็นความผิดทางอาญาฐานหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา ตลอดจนเป็นการละเมิดทางแพ่งซึ่งท่านอาจถูกเรียกค่าเสียหายได้ ทั้งๆที่ไม่ใช่เรื่องที่ท่านมีส่วนได้เสียเกี่ยวข้องด้วยเลย

เตือนใจสักนิดก่อนคิดแชร์สิ่งใดครับ

เหตุเนื่องจากการกดเงินผ่านบัตรเครดิต/อายุความ/โอนสิทธิเรียกร้อง

               จากคำถาม ผมเป็นหนี้เงินกู้ผ่านบัตรเครดิต จะมีอายุความเท่าไหร่ และผมได้ตกลงกับธนาคารแล้วว่าจะผ่อนชำระเป็นจำนวน 10,000 บาท ต่อเดือน แต่ผมก็ส่งตามกำหนดได้เพียงสามเดือน นอกนั้นส่งไม่ถึงกำหนด10,000 บาท ต่อเดือน และไม่ได้ส่งอีกเลยมา 9 เดือนแล้ว ต่อมาเมื่อเดือนที่แล้วมีเอกสารจากบริษัทแห่งหนึ่ง เนื้อความบอกว่า ได้รับโอนสิทธิเรียงร้องของเจ้าหนี้มาแล้วและให้ลูกหนี้ชำระหนี้ทั้งหมดกับบริษัทแห่งนี้โดยไม่ต้องนำเงินไปชำระกับที่ธนาคารอีก เช่นนี้ในการชำระหนี้ผมจะต้องทำอย่างไรดี

                เบื้องต้นคงต้องทำความเข้าใจกันก่อนครับว่าการกู้เงินกับการใช้เงินผ่านบัตรเครดิตนั้นมีจุดต่างกันอยู่ซึ่งเป็นผลไปถึงเรื่องของอายุความฟ้องคดีด้วย เพราะถ้าเป็นการกู้เงินอายุความ 10 ปี หากเป็นการใช้บริการผ่านบัตรตามสัญญาก็จะมีอายุความ 2 ปี หรือ 5 ปี ตามประเภทการใช้บริการบัตร ในที่นี่หากเป็นการที่ผู้ถือบัตรทำการกดเงินสดผ่านบัตรซึ่งเป็นบริการอย่างหนึ่งของบัตรที่ธนาคารตกลงกับผู้ใช้บัตรไว้ ไม่ถือเป็นการกู้เงินครับ อายุความคงมีเพียง 2 ปี จากคำถามลูกหนี้ขาดส่งเงินเพียง 9 เดือน จึงเห็นได้ว่าหนี้รายนี้ยังไม่ขาดอายุความ และเพื่อความเข้าใจที่ชัดเจนลองมาดูตัวอย่างคำตัดสินของศาลฎีกาครับ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3101/2551
ที่โจทก์ฎีกาปัญหาข้อกฎหมายว่า จำเลยทั้งสองเบิกถอนเงินสดล่วงหน้าจากเครื่องฝากถอนเงินสดอัตโนมัติ เป็นการกู้ยืมเงินซึ่งมีอายุความ 10 ปี คดีโจทก์ยังไม่ขาดอายุความทั้งหมดนั้น เห็นว่า ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติตามคำฟ้องของโจทก์ว่า โจทก์ประกอบกิจการธนาคารพาณิชย์และประกอบธุรกิจให้บริการประเภทบัตรเครดิตแก่ลูกค้าซึ่งเป็นสมาชิกของโจทก์ โดยสมาชิกซึ่งรวมทั้งจำเลยทั้งสองสามารถนำบัตรเครดิตที่โจทก์ออกให้ไปใช้แทนเงินสดในการชำระค่าสินค้าและค่าบริการต่างๆ ให้แก่ร้านค้าหรือสถานบริการที่เป็นสมาชิกของโจทก์ เมื่อร้านค้าหรือสถานบริการเรียกเก็บเงินค่าสินค้าหรือค่าบริการจากการใช้บัตรเครดิตของจำเลยทั้งสองดังกล่าว โจทก์จะเป็นผู้ชำระเงินแทนจำเลยทั้งสองไปก่อนแล้วเรียกเก็บเงินจากจำเลยทั้งสองภายหลัง การประกอบธุรกิจของโจทก์ดังกล่าวมีลักษณะเป็นการทำกิจการงานให้บริการอำนวยความสะดวกแก่สมาชิกในการซื้อสินค้าและการใช้บริการ ส่วนการให้สมาชิกเบิกถอนเงินสดล่วงหน้าด้วยบัตรเครดิต ก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของการให้บริการอำนวยความสะดวกดังกล่าวซึ่งโจทก์ได้เรียกเก็บค่าธรรมเนียมและค่าบริการในการเบิกเงินสดล่วงหน้าด้วย โจทก์จึงเป็นผู้ประกอบธุรกิจรับทำการงานต่างๆ ให้แก่สมาชิก การที่โจทก์ได้ชำระเงินให้แก่เจ้าหนี้ของสมาชิกแทนสมาชิกไปก่อนก็ดี หรือให้สมาชิกเบิกถอนเงินสดล่วงหน้าแล้วเรียกเก็บเงินจากสมาชิกในภายหลังก็ดี ถือได้ว่าเป็นการเรียกเอาเงินที่โจทก์ได้ออกทดรองไป การฟ้องเรียกเงินทดรองของโจทก์จึงมีอายุความ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/34 (7) ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยปัญหานี้ชอบแล้ว”

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7610/2549
การที่จำเลยเปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันและทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีเฉพาะสินเชื่อธนวัฏบัตรเครดิตกับโจทก์ก็มีความประสงค์เพื่อการชำระหนี้ค่าสินค้าและบริการต่าง ๆ อันเกิดจากการใช้บัตรเครดิตรวมทั้งเพื่อถอนเงินสดจากบัญชีเงินฝากผ่านเครื่องถอนเงินอัตโนมัติ ซึ่งเป็นกิจกรรมเกี่ยวเนื่องจากการใช้บัตรเครดิตทั้งสิ้น ดังนั้น หนี้ในคดีนี้จึงไม่ใช่หนี้กู้เบิกเงินเกินบัญชีหรือหนี้บัญชีเดินสะพัดโดยตรง แต่เป็นการที่โจทก์ให้บริการการใช้บัตรเครดิตแก่จำเลยที่เป็นสมาชิกโดยเรียกเก็บค่าธรรมเนียม ถือได้ว่าโจทก์เป็นผู้ประกอบธุรกิจในการรับทำการงานต่าง ๆ ให้แก่สมาชิก เรียกเอาเงินที่ได้ออกทดรองไปก่อน สิทธิเรียกร้องโจทก์จึงมีอายุความ 2 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/34 (7)

               ประการต่อมาก็เรื่องการโอนสิทธิ์เรียกร้องสามารถทำได้หรือไม่
คำตอบคือสามารถทำได้ครับแต่มีเงื่อนไขตามหลักกฎหมายดังนี้ครับ
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
                มาตรา 303 สิทธิเรียกร้องนั้นท่านว่าจะพึงโอนกันได้ เว้นไว้แต่สภาพแห่งสิทธินั้นเองจะไม่เปิดช่องให้โอนกันได้

                ความที่กล่าวมานี้ย่อมไม่ใช้บังคับ หากคู่กรณีได้แสดงเจตนาเป็นอย่างอื่นการแสดงเจตนาเช่นว่านี้ ท่านห้ามมิให้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้กระทำการโดยสุจริต
...............................
                มาตรา 306 การโอนหนี้อันจะพึงต้องชำระแก่เจ้าหนี้คนหนึ่งโดยเฉพาะเจาะจงนั้นถ้าไม่ทำเป็นหนังสือ ท่านว่าไม่สมบูรณ์ อนึ่งการโอนหนี้นั้นท่านว่าจะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ลูกหนี้หรือบุคคลภายนอกได้แต่เมื่อได้บอกกล่าวการโอนไปยังลูกหนี้หรือลูกหนี้จะได้ยินยอมด้วยในการโอนนั้น คำบอกกล่าวหรือความยินยอมเช่นว่านี้ท่านว่าต้องทำเป็นหนังสือ

ถ้าลูกหนี้ทำให้พอแก่ใจผู้โอนด้วยการใช้เงิน หรือด้วยประการอื่นเสียแต่ก่อนได้รับบอกกล่าว หรือก่อนได้ตกลงให้โอนไซร้ ลูกหนี้นั้นก็เป็นอันหลุดพ้นจากหนี้
...............................
               มาตรา 308 ถ้าลูกหนี้ได้ให้ความยินยอมดังกล่าวมาในมาตรา 306 โดยมิได้อิดเอื้อน ท่านว่าจะยกข้อต่อสู้ที่มีต่อผู้โอนขึ้นต่อสู้ผู้รับโอนนั้นหาได้ไม่ แต่ถ้าเพื่อจะระงับหนี้นั้นลูกหนี้ได้ใช้เงินให้แก่ผู้โอนไปไซร้ ลูกหนี้จะเรียกคืนเงินนั้นก็ได้ หรือถ้าเพื่อการเช่นกล่าวมานั้น ลูกหนี้รับภาระเป็นหนี้อย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นใหม่ต่อผู้โอน จะถือเสมือนหนึ่งว่าหนี้นั้นมิได้ก่อขึ้นเลยก็ได้

               ถ้าลูกหนี้เป็นแต่ได้รับคำบอกกล่าวการโอน ท่านว่าลูกหนี้มีข้อต่อสู้ผู้โอนก่อนเวลาที่ได้รับคำบอกกล่าวนั้นฉันใด ก็จะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้แก่ผู้รับโอนได้ฉันนั้น ถ้าลูกหนี้มีสิทธิเรียกร้องจากผู้โอน แต่สิทธินั้นยังไม่ถึงกำหนดในเวลาบอกกล่าวไซร้ ท่านว่าจะเอาสิทธิเรียกร้องนั้นมาหักกลบลบกันก็ได้ หากว่าสิทธินั้นจะได้ถึงกำหนดไม่ช้ากว่าเวลาถึงกำหนดแห่งสิทธิเรียกร้องอันได้โอนไปนั้น
...............................

                จะเห็นได้ว่าการโอนสิทธิเรียกร้องของเจ้าหนี้ให้แก่บุคคลหนึ่งสามารถกระทำได้ แต่ต้องทำเป็นหนังสือมิฉะนั้นการโอนสิทธิ์นั้นจะไม่สมบูรณ์และแจ้งให้ทางลูกหนี้ได้ทราบถึงการโอนหนี้ดังกล่าวด้วย ซึ่งเป็นหน้าที่ของเจ้าหนี้ แต่ถึงแม้ว่าเจ้าหนี้ไม่ได้บอกกล่าวให้ลูกหนี้ทราบมีเพียงผู้รับโอนสิทธิที่แจ้งมายังลูกหนี้ ลูกหนี้ก็มีสิทธิ์เรียกร้องให้แสดงหนังสือโอนสิทธิ์ได้ หรือโต้แย้งได้ครับ แต่การที่ลูกหนี้ได้เข้าทำสัญญากับผู้รับโอนสิทธิ์หรือยอมชำระเงินให้แก่ผู้รับโอนสิทธิ์เช่นนี้ถือว่าลูกหนี้ได้ให้ความยินยอมในการโอนสิทธิเรียกร้องนั้นแล้วการโอนสิทธิก็สมบูรณ์ จากคำถามผมจึงเห็นว่าควรตรวจสอบการโอนสิทธิ์ให้ถูกต้องเสียก่อนครับ ก่อนจะทำนิติกรรมใดๆกับผู้รับโอนสิทธิ

                เป็นหนี้ก็ต้องชำระแต่การใช้สิทธิ์เรียกร้องของเจ้าหนี้ก็ต้องถูกต้องตามกฎหมาย การชำระหนี้ทางแพ่งขึ้นอยู่กับตัวคู่กรณีและกรอบของกฎหมาย สามารถเจรจาลดลงได้แต่เพิ่มหนี้โดยไม่มีมูลสิทธิทางกฎหมายไม่ได้ หากหนี้ขาดอายุความลูกหนี้ก็ใช้สิทธิ์โต้แย้งไม่ชำระหนี้ได้ครั